เมนู

ส่วนพระเถระทั้งหลาย เช่นพระอานนทเถระ ย่อมปรินิพพาน
ในประเทศที่สัตว์ไม่เคยตาย.

การปรินิพพานของพระอานนท์


ดังได้สดับมา พระอานนทเถระ พิจารณาดูอายุสังขารในกาลที่มี
อายุได้ 120 ปี ทราบความที่อายุนั้นสิ้นไปรอบ จึงบอกว่า " เราจัก
ปรินิพพานในวันที่ 7 แต่วันนี้." บรรดามนุษย์ผู้อยู่ที่ฝั่งทั้งสองแห่ง
แม่น้ำโรหิณี ทราบข่าวนั้นแล้ว ผู้ที่อยู่ฝั่งนี้ กล่าวว่า "พวกเรา มี
อุปการะมากแก่พระเถระ, พระเถระจักปรินิพพานในสำนักของพวกเรา."
ผู้ที่อยู่ฝั่งโน้นก็กล่าวว่า " พวกเรามีอุปการะมากแก่พระเถระ, พระเถระ
จักปรินิพพานในสำนักของพวกเรา." พระเถระฟังคำของชนเหล่านั้นแล้ว
คิดว่า "แม้พวกชนผู้ที่อยู่ฝั่งทั้งสองก็มีอุปการะแก่เราทั้งนั้น. เราไม่อาจ
กล่าวว่า ' ชนเหล่านี้ไม่มีอุปการะ' ได้, ถ้าเราจักปรินิพพานที่ฝั่งนี้,
ผู้อยู่ฝั่งโน้นจักทำการทะเลาะกับพวกฝั่งนี้ เพื่อจะถือเอา (อัฐิ) ธาตุ;
ถ้าเราจักปรินิพพานที่ฝั่งโน้น, พวกที่อยู่ฝั่งนี้ ก็จักทำเหมือนอย่างนั้น;
ความทะเลาะแม้เมื่อจะเกิด ก็จักเกิดขึ้นอาศัยเราแน่แท้, แม้เมื่อจะสงบ
ก็จะสงบอาศัยเราเหมือกัน" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า "ทั้งพวกที่อยู่ฝั่งนี้
ย่อมมีอุปการะแก่เรา, ทั้งพวกที่อยู่ฝั่งโน้น ก็มีอุปการะแก่เรา. ใคร ๆ
ชื่อว่าไม่มีอุปการะไม่มี; พวกที่อยู่ฝั่งนี้จงประชุมกันที่ฝั่งนี้แหละ, พวก
ที่อยู่ฝั่งโน้นก็จงประชุมกันที่ฝั่งโน้นแหละ." ในวันที่ 7 แต่วันนั้น
พระเถระนั่งโดยบัลลังก์ในอากาศประมาณ 7 ชั่วลำตาล ในท่ามกลางแห่ง
แม่น้ำ กล่าวธรรมแก่มหาชนแล้วอธิษฐานว่า "ขอสรีระของเราจงแตก

ในท่ามกลาง, ส่วนหนึ่งจงตกฝั่งนี้, ส่วนหนึ่งจงตกฝั่งโน้น" นั่งอยู่ตาม
ปกตินั่นแหละ เข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์. เปลวไฟตั้งขึ้นแล้ว.
สรีระแตกแล้วในท่ามกลาง. ส่วนหนึ่งตกฝั่งนี้; ส่วนหนึ่งตกที่ฝั่งโน้น.
มหาชนร้องไห้แล้ว. เสียงร้องไห้ ได้เป็นราวกะว่าเสียงแผ่นดินทรุด
น่าสงสาร แม้กว่าเสียงร้องไห้ในวันปรินิพพานแห่งพระศาสดา. พวก
มนุษย์ร้องไห้ร่ำไรอยู่ตลอด 4 เดือน เที่ยวบ่นเพ้ออยู่ว่า " เมื่อพระเถระ
ผู้รับบาตรจีวรของพระศาสดายังดำรงอยู่, ได้ปรากฏแก่พวกเรา เหมือน
การที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่, บัดนี้ พระศาสดาของพวกเรา
ปรินิพพานแล้ว."

พระศาสดาสนทนากับติสสสามเณร


พระศาสดา ตรัสถามสามเณรอีกว่า " ติสสะ เธอไม่กลัวในเพราะ
เสียงแห่งสัตว์ทั้งหลายมีเสือเหลืองเป็นต้น ในชัฏป่านี้หรือ ?"
สามเณรกราบทูลว่า " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์
ย่อมไม่กลัว, ก็แลอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าความยินดีในป่า ย่อมเกิดขึ้นแก่
ข้าพระองค์ เพราะฟังเสียงแห่งสัตว์เหล่านั้น" แล้วกล่าวพรรณนาป่าด้วย
คาถาประมาณ 60 คาถา.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกสามเณรนั้นว่า "ติสสะ."
สามเณร. อะไร ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. พวกเราจะไป เธอจักไปหรือจักกลับ ?
สามเณร. เมื่ออุปัชฌายะของข้าพระองค์ พาข้าพระองค์ไป,
ข้าพระองค์จักไป, เมื่อให้ข้าพระองค์กลับ, ข้าพระองค์ก็จักกลับพระเจ้าข้า.