เมนู

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นพวกอุปัฎฐาก
ของวนวาสีติสสสามเณร ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์.
ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า "เหตุอะไรหนอแล จักมี" ทรงใคร่ครวญเนื้อ
ความนี้ว่า " พวกอุปัฏฐากของวนวาสีติสสสามเณร บางพวกโกรธ, บาง
พวกยินดี, ก็พวกที่โกรธสามเณรผู้เป็นบุตรของเราจักไปสู่นรก, เราควร
ไปที่นั้นเถิด, เมื่อเราไป, คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด จักทำเมตตาจิตใน
สามเณรแล้วพ้นจากทุกข์." มนุษย์แม้เหล่านั้น นิมนต์ภิกษุสงฆ์แล้วก็ไป
บ้าน ให้คนทำมณฑป จัดอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น ปูอาสนะไว้
แล้ว นั่งดูการมาของพระสงฆ์. แม้ภิกษุทั้งหลายทำการชำระสรีระแล้ว
เมื่อจะเข้าไปสู่บ้านในเวลาเที่ยวภิกษา จึงถามสามเณรว่า "ติสสะ เธอ
จักไปพร้อมกับพวกเราหรือ หรือจักไปภายหลัง ?"
สามเณร. กระผมจักไปในเวลาเป็นที่ไปของกระผมตามเคย, นิมนต์
ท่านทั้งหลายไปเถิด ขอรับ.

พวกมนุษย์เลื่อมใสติสสสามเณร


ภิกษุทั้งหลายถือบาตรและจีวรเข้าไปแล้ว.
พระศาสดา ทรงห่มจีวรในพระเชตวันนั่นแล แล้วทรงถือบาตร
เสด็จไปโดยขณะจิตเดียวเท่านั้น ทรงแสดงพระองค์ประทับยืนข้างหน้า
ภิกษุทั้งหลายทีเดียว. ชาวบ้านทั้งสิ้นได้ตื่นเต้นเอิกเกริกเป็นอย่างเดียวกัน
ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมา." พวกมนุษย์มีจิตร่าเริง นิมนต์
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งแล้ว ถวายยาคูแล้ว ได้ถวาย
ของควรเคี้ยว. เมื่อภัตยังไม่ทันเสร็จนั้นแล สามเณรเข้าไปสู่ภายในบ้าน

แล้ว. ชาวบ้าน ได้นำออกไป ถวายภิกษุแก่สามเณรโดยเคารพ
สามเณรนั้นรับภิกษาเพียงยังอัตภาพ. ให้เป็นไปแล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดา
น้อมบาตรเข้าไปแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า " นำมาเถิด ติสสะ " แล้ว
ทรงเหยียดพระหัตถ์รับบาตร ทรงแสดงแก่พระเถระว่า "สารีบุตร จง
ดูบาตรของสามเณรของเธอ." พระเถระรับบาตรจากพระหัตถ์ของพระ-
ศาสดา ให้แก่สามเณรแล้ว กล่าวว่า "เธอจงไปนั่งทำภัตกิจในที่ที่ถึง
แก่ตน." ชาวบ้านอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทูล
ขออนุโมทนากะพระศาสดา. พระศาสดาเมื่อจะทรงทำอนุโมทนา จึง
ตรัสอย่างนี้ว่า " อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เป็นลาภของท่านทั้งหลาย
ซึ่งได้เห็นอสีติมหาสาวก คือ สารีบุตร โมคคัลลานะ กัสสป เป็นต้น
เพราะอาศัยสามเณรผู้เข้าถึงสกุลของตน ๆ. แม้เราก็มาแล้ว เพราะอาศัย
สามเณรผู้เข้าถึงสกุลท่านทั้งหลายเหมือนกัน. แม้การเห็นพระพุทธเจ้า
อันท่านทั้งหลายได้แล้ว เพราะอาศัยสามเณรนี้นั่นเอง, เป็นลาภของท่าน
ทั้งหลาย. ท่านทั้งหลายได้ดีแล้ว." มนุษย์ทั้งหลายคิดว่า " น่ายินดี !
เป็นลาภของพวกเรา. พวกเราได้เห็นพระผู้เป็นเข้าของพวกเรา ผู้สามารถ
ในการยังพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ให้โปรดปราน. และย่อมได้ถวาย
ไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้านั้น." พวกมนุษย์ที่โกรธสามเณรกับยินดีแล้ว
พวกที่ยินดีแล้วเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง. ก็ในเวลาจบอนุโมทนา ชนเป็น
อันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว พระศาสดา
เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว. มนุษย์ทั้งหลายตามส่งเสด็จพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วกลับ.
พระศาสดา เสด็จไปด้วยพระธุระอันเสมอกับสามเณร ตรัสถาม

ประเทศที่อุบาสกแสดงแล้วแก่สามเณรนั้น ในกาลก่อนว่า "สามเณร
ประเทศนี้ชื่ออะไร ? ประเทศนี้ชื่ออะไร ?" ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไป.
แม้สามเณรก็กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประเทศนี้ชื่อนี้,
ประเทศนี้ชื่อนี้ " ได้ไปแล้ว.

น้ำตาของมนุษย์มากกว่าน้ำในมหาสมุทร


พระศาสดา เสด็จถึงที่อยู่ของสามเณรนั้นแล้ว เสด็จขึ้นสู่ยอด
ภูเขา. ก็มหาสมุทรย่อมปรากฏแก่ผู้ที่ยืนอยู่บนยอดภูเขานั้น. พระศาสดา
ตรัสถามสามเณรว่า "ติสสะ เธอยืนอยู่บนยอดเขา แลดูข้างโน้นและ
ข้างนี้ เห็นอะไร ?"
สามเณร. เห็นมหาสมุทร พระเจ้าข้า
พระศาสดา. เห็นมหาสมุทรแล้วคิดอย่างไร ?
สามเณร. ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า 'เมื่อเราร้องไห้ในคราวที่ถึง
ทุกข์ น้ำตาพึงมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่' พระเจ้าข้า.
พระศาสดา ตรัสว่า "ดีละ ดีละ ติสสะ, ข้อนี้เป็นอย่างนั้น,
เพราะน้ำตาอันไหลออก ในเวลาที่สัตว์ผู้หนึ่ง ๆ ถึงซึ่งทุกข์ พึงเป็นของ
มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ โดยแท้." ก็แล ครั้นตรัสคำนี้แล้ว จึง
ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
" น้ำในมหาสมุทรทั้งสีนิดหน่อย, น้ำคือน้ำตา
ของนระผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้าโศกอยู่ มี
ประมาณไม่น้อย มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่นั้น,
สหาย เพราะเหตุไร ท่านจึงยังประมาทอยู่ ? "