เมนู

เถิด." ก็สามเณรถึงบรรลุพระอรหัตแล้วก็มิได้กล่าวธรรมกถาแก่อุปัฏฐาก
เหล่านั้นเลย.

เหตุให้ถึงสุขและพ้นจากทุกข์


ก็ในกาลนั้น พระอุปัชฌายะ กล่าวกะสามเณรนั้นว่า " สามเณร
คนทั้งหลายจะมีความสุขได้อย่างไร ? [และ] จะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ?
เธอจงกล่าวเนื้อความแห่งบททั้งสองนี้แก่เราทั้งหลาย." สามเณรนั้นรับว่า
" ดีละ ขอรับ " แล้วถือพัดอันวิจิตร ขึ้นสู่ธรรมาสน์ ชักผลและเหตุ
มาจากนิกายทั้ง 4 จำแนกขันธ์ ธาตุ อายตนะ และโพธิปักขิยธรรม
ดุจมหาเมฆตั้งขึ้นใน 4 ทวีป ยังฝนลูกเห็บให้ตกอยู่ กล่าวธรรมกถาด้วย
ยอดคือพระอรหัต แล้วกล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ความสุขย่อมมีแก่บุคคลผู้
บรรลุพระอรหัตอย่างนี้. ผู้บรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล ย่อมพ้นจากทุกข์,
คนที่เหลือไม่พ้นจากชาติทุกข์เป็นต้น และจากทุกข์ในนรกเป็นต้นได้."
พระเถระกล่าวว่า "ดีละ สามเณร การกล่าวโดยบทอันเธอกล่าวดีแล้ว
บัดนี้ จงกล่าวสรภัญญะเถิด." สามเณรนั้น กล่าวแม้สรภัญญะแล้ว.
เมื่ออรุณขึ้น พวกมนุษย์ที่บำรุงสามเณร ได้เป็น 2 พวก. บางพวก
โกรธว่า " ในกาลก่อนแต่นี้ พวกเราไม่เคยเห็นคนหยาบช้าเช่นนี้.
ทำไม สามเณรรู้ธรรมกถาเห็นปานนี้ จึงไม่กล่าวบทแห่งธรรมแม้สักบท
หนึ่ง แก่พวกมนุษย์ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเพียงดังมารดาบิดา อุปัฏฐากอยู่
สิ้นกาลประมาณเท่านี้. บางพวกยินดีว่า "เป็นลาภของพวกเราหนอ ผู้
แม้ไม่รู้คุณหรือโทษ บำรุงท่านผู้เจริญเห็นปานนี้, แต่บัดนี้ พวกเรา
ได้เพื่อฟังธรรมในสำนักของท่านผู้เจริญนั้น." ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้น

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นพวกอุปัฎฐาก
ของวนวาสีติสสสามเณร ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์.
ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า "เหตุอะไรหนอแล จักมี" ทรงใคร่ครวญเนื้อ
ความนี้ว่า " พวกอุปัฏฐากของวนวาสีติสสสามเณร บางพวกโกรธ, บาง
พวกยินดี, ก็พวกที่โกรธสามเณรผู้เป็นบุตรของเราจักไปสู่นรก, เราควร
ไปที่นั้นเถิด, เมื่อเราไป, คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด จักทำเมตตาจิตใน
สามเณรแล้วพ้นจากทุกข์." มนุษย์แม้เหล่านั้น นิมนต์ภิกษุสงฆ์แล้วก็ไป
บ้าน ให้คนทำมณฑป จัดอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น ปูอาสนะไว้
แล้ว นั่งดูการมาของพระสงฆ์. แม้ภิกษุทั้งหลายทำการชำระสรีระแล้ว
เมื่อจะเข้าไปสู่บ้านในเวลาเที่ยวภิกษา จึงถามสามเณรว่า "ติสสะ เธอ
จักไปพร้อมกับพวกเราหรือ หรือจักไปภายหลัง ?"
สามเณร. กระผมจักไปในเวลาเป็นที่ไปของกระผมตามเคย, นิมนต์
ท่านทั้งหลายไปเถิด ขอรับ.

พวกมนุษย์เลื่อมใสติสสสามเณร


ภิกษุทั้งหลายถือบาตรและจีวรเข้าไปแล้ว.
พระศาสดา ทรงห่มจีวรในพระเชตวันนั่นแล แล้วทรงถือบาตร
เสด็จไปโดยขณะจิตเดียวเท่านั้น ทรงแสดงพระองค์ประทับยืนข้างหน้า
ภิกษุทั้งหลายทีเดียว. ชาวบ้านทั้งสิ้นได้ตื่นเต้นเอิกเกริกเป็นอย่างเดียวกัน
ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมา." พวกมนุษย์มีจิตร่าเริง นิมนต์
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งแล้ว ถวายยาคูแล้ว ได้ถวาย
ของควรเคี้ยว. เมื่อภัตยังไม่ทันเสร็จนั้นแล สามเณรเข้าไปสู่ภายในบ้าน