เมนู

13. เรื่องสัฏฐิกูฏเปรต [57]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสัฏฐิกูฏ-
เปรต1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยาวเทว อนตฺถาย " เป็นต้น.

พระมหาโมคคัลลานเถระเห็นสัฏฐิกูฏเปรต


ความพิสดารว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
พร้อมกับพระลักขณเถระ กระทำการยิ้มแย้มในประเทศแห่งใดแห่งหนึ่ง
โดยนัยมีในก่อนนั้นแล ถูกพระเถระถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้มจึงกล่าวว่า
" ท่านพึงถามผมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า" ในกาลแห่งพระมหา-
โมคคัลลานเถระเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม
นั่งแล้ว ถูกพระเถระถามอีก จึงกล่าวว่า " ผู้มีอายุ ผมได้เห็นเปรตตน
หนึ่ง มีอัตภาพประมาณ 3 คาวุต, ค้อนเหล็ก 6 หมื่นอันไฟติดลุกโพลง
แล้ว ตกไปเบื้องบนแห่งกระหม่อมของเปรตนั้นแล้ว ตั้งขึ้น ทำลาย
ศีรษะ, ศีรษะที่แตกแล้ว ๆ ย่อมตั้งขึ้นอีก, โดยอัตภาพนี้ อัตภาพเห็น
ปานนี้ ผมยังไม่เคยเห็น. ผมเห็นอัตภาพนั้น จึงได้กระทำการยิ้มแย้มให้
ปรากฏ." จริงอยู่ ในเรื่องเปรต พระมหาโมคคัลลานเถระหมายเอาซึ่ง
เปรตนี้นั่นแหละ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า2:-
"ค้อนเหล็ก 6 หมื่น บริบูรณ์แล้วโดยประการ
ทั้งปวง ย่อมตกไปบนศีรษะของเจ้า ต่อยกระหม่อม
อยู่เสมอ."

1. เปรตผู้มีศีรษะอันไม้ค้อน 6 หมื่น ต่อยแล้ว. 2. ขุ. เปต. 26/258.

พระศาสดาทรงรับรองว่าเปรตมี


พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของพระเถระแล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุ
ทั้งหลาย สัตว์นี้ แม้เรานั่งอยู่ที่โพธิมัณฑประเทศ ก็เห็นแล้วเหมือนกัน
เราไม่บอก ก็เพื่อนุเคราะห์แก่คนเหล่าอื่นว่า ' ก็แลคนเหล่าใด ไม่พึง
เชื่อคำของเรา; ความไม่เชื่อนั้น พึงมีเพื่อกรรมไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
แก่คนเหล่านั้น,' แต่ว่า บัดนี้ เราเป็นพยานของโมคคัลลานะ จึงบอก
ได้." ภิกษุทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงทูลถามถึงบุรพกรรมของ
เปรตนั้น. แม้พระศาสดา ก็ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า :-

บุรพกรรมของสัฏฐิกูฏเปรต


" ดังได้ยินมา ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี ได้มีบุรุษเปลี้ย
คนหนึ่ง ถึงซึ่งความสำเร็จในศิลปะของบุคคลผู้ดีดก้อนกรวด. บุรุษนั้น
นั่ง ณ ภายใต้ต้นไทรย้อยต้นหนึ่ง ใกล้ประตูพระนคร อันพวกเด็ก
ชาวบ้านกล่าวอยู่ว่า " ท่านจงดีดก้อนกรวดไปเจาะใบไทรนั้นแสดงรูปช้าง
แก่พวกเรา; แสดงรูปม้าแก่พวกเรา" ก็แสดงรูปทั้งหลายอันพวกเด็ก
ปรารถนาแล้ว ๆ ได้วัตถุมีของเคี้ยวเป็นต้น จากสำนักพวกเด็กเหล่านั้น.
ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปสู่พระราชอุทยาน เสด็จถึงประเทศนั้น.
พวกเด็กซ่อนบุรุษเปลี้ยไว้ในระหว่างย่านไทรแล้ว ก็หนีไป. เมื่อพระ-
ราชาเสด็จเข้าไปสู่โคนต้นไม้ในเวลาเที่ยงตรง เงาของช่องส่องต้องพร-
สรีระ. ท้าวเธอทรงดำริว่า "นี้อะไรหนอแล ?" ทรงตรวจดูในเบื้องบน
ทอดพระเนตรเห็นรูปมีรูปช้างเป็นต้นที่ใบไม้ทั้งหลาย จึงตรัสถามว่า
" นี่กรรมของใคร ?" ทรงสดับว่า " ของบุรุษเปลี้ย" จงรับสั่งให้หา