เมนู

ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น." ก็ในกาลที่พระมหาโมคคัลลานะเห็น
แล้วนั่นแล พระศาสดาทรงเป็นพยานของท่าน ตรัสเรื่อง 2 เรื่อง
แม้ในลักขณสังยุต1เเล้ว. แม้เรื่องนี้ พระเถระนั้น ก็กล่าวไว้อย่างนั้น
เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุรพกรรมของเปรต
นั้น. แม้พระศาสดา ก็ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า:-

บุรพกรรมของอหิเปรต


" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้าง
บรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ใกล้ฝั่งแม่น้ำ. พระปัจเจกพุทธเจ้า
นั้น อยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์.
แม้พวกชาวเมือง มีมือถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่
บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า. บุรุษชาวกรุงพาราณสีคน
หนึ่ง อาศัยหนทางนั้นไถนา. มหาชน เมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า
ย่อมเหยียบย่ำนานั้นไป ทั้งเย็นทั้งเช้า. ชาวนา แม้ห้ามอยู่ว่า "ขอ
พวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้. ครั้งนั้น
ชาวนานั้น ได้มีความคิดอย่างนั้นว่า " ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจก-
พุทธเจ้า ไม่พึงมีในที่นี้ไซร้ ชนทั้งหลายก็ไม่พึงเหยียบย่ำนาของเรา."
ในกาลที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต ชาวนานั้น ทุบภาชนะ
เครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นบรรณศาลา
นั้นถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย. มหาชน ถือของหอมและระเบียบ
ดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า " พระผู้เป็นเจ้าของ
1. สํ. นิ. 16/298.

พวกเรา ไป ณ ที่ไหนหนอแล ? " แม้ชาวนานั้น ก็มากับด้วยมหาชน
เหมือนกัน ยืนอยู่ในท่ามกลางแห่งมหาชน พูดอย่างนี้ว่า " ข้าพเจ้าเอง
เผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้า. " ครั้งนั้น ชนทั้งหลายพูดว่า
" พวกท่านจงจับ. " พวกเราอาศัยบุรุษชั่วนี้ จึงไม่ได้เพื่อจะเห็นพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า. " ดังนี้แล้ว ก็โบยชาวนานั้น ด้วยเครื่องประหาร มี
ท่อนไม้เป็นต้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว. ชาวนานั้นเกิดในอเวจี. ไหม้
ในนรกตราบเท่าแผ่นดินนี้ หนาขึ้นประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว จึงเกิดเป็น
อหิเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมอันเหลือ. "

พระศาสดาทรงเปรียบเทียบผลกรรม


พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของอหิเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า
" ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าบาปกรรมนั้น เป็นเช่นกับน้ำนม. น้ำนมอันบุคคล
กำลังรีดแล ย่อมไม่แปรไปฉันใด; กรรมอันบุคคลกำลังกระทำเทียว
ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น. แต่ในกาลใด กรรมให้ผล; ในกาลนั้น ผู้กระทำ
ย่อมประกอบด้วยทุกข์เห็นปานนั้น " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
12. น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุขีรํว มุจฺจิ
ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก.
" ก็กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล
เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไปฉะนั้น,
บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้า
กลบไว้ฉะนั้น."