เมนู

พระมหาโมคคัลลานะบอกเหตุแห่งการยิ้ม


พระเถระ กล่าวว่า "ผู้มีอายุ ผมเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้
ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ, อัตภาพของเปรตนั้นเห็นปานนี้, ศีรษะของมัน
เหมือนศีรษะมนุษย์, อัตภาพที่เหลือของมัน เหมือนของงู, นั่นชื่อ
อหิเปรต โดยประมาณ 25 โยชน์, เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของมัน
ลามไปจนถึงหาง, ตั้งขึ้นจากหางถึงศีรษะ, ตั้งขึ้นในท่ามกลาง ลามไป
ถึงข้างทั้งสอง ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้งสอง รวมลงในท่ามกลาง." ได้ยินว่า
อัตภาพของเปรตทั้งสอง นั่นแล ประมาณ 25 โยชน์, ของเปรตที่เหลือ
ประมาณ 3 คาวุต, ของอหิเปรตนี้นั่นแล และของกากเปรต ประมาณ
25 โยชน์, บรรดาเปรตทั้งสองนั้น อหิเปรต เป็นดังนี้ก่อน.

บุรพกรรมของกากเปรต


พระมหาโมคคัลลานะ เห็นแม้กากเปรต อันไฟไหม้อยู่ที่ยอดเขา
คิชฌกูฏ เมื่อจะถามบุรพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
" ลิ้นของเจ้าประมาณ 5 โยชน์, ศีรษะของเจ้า
ประมาณ 9 โยชน์, กายของเจ้าสูงประมาณ 25
โยชน์, เจ้าทำกรรมอะไรไว้จึงถึงทุกข์เช่นนี้."

ครั้งนั้น เปรตเมื่อจะบอกแก่พระเถระนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
" พระโมคคัลลานะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากลืนกินภัต
ที่เขานำมาเพื่อสงฆ์ ของพระพุทธเจ้าพระนานว่า
กัสสป ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ตานปรารถนา."

ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่ากัสสป พวกภิกษุมากรูป เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกมนุษย์
เห็นพระเถระทั้งหลายแล้ว รักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้า
ทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล
นั่งฟังธรรมอยู่. ในกาลจบธรรมกถา พวกมนุษย์รับบาตรของพระเถระ
ทั้งหลายแล้ว ให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของตน ๆ แล้ว
นำมา. ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นกา จับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน เห็น
โภชนะนั้นแล้ว ได้คาบเอาคำข้าว 3 คำเต็มปาก 3 ครั้ง จากบาตรอัน
มนุษย์ผู้หนึ่งถือไว้, แต่ภัตนั้น ยังหาเป็นของสงฆ์ไม่, มิใช่เป็นภัตที่เขา
กำหนดถวายแก่สงฆ์, เป็นภัตอันเหลือจากที่ภิกษุทั้งหลายฉัน อันพวก
มนุษย์พึงนำไปสู่เรือนของตนบริโภคก็ไม่ใช่, เป็นเพียงภัตที่เขานำมา
เฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น. ข้าพเจ้าคาบเอาคำข้าว 3 คำจากบาตรนั้น,
กรรมเพียงเท่านี้ เป็นบุรพกรรมของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้านั้น ทำกาละ
แล้วไหม้ในอเวจี เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ เกิดเป็นกากเปรต
เสวยทุกข์นี้ ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่เหลือในเพราะกรรมนั้น
เรื่องกากเปรต มีเท่านี้.
แต่ในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวว่า " ผมเห็นอหิเปรต จึงได้ทำการ
ยิ้มแย้มให้ปรากฏ." ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเป็นพยานของพระเถระ
นั้น ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง, ก็เราเห็นเปรตนั่น
ในวันบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน, แต่เราไม่กล่าว เพราะเอ็นดูคนอื่นว่า
' ชนเหล่าใด ไม่เชื่อคำของเรา, ความไม่เชื่อนั้น พึงเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่

ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น." ก็ในกาลที่พระมหาโมคคัลลานะเห็น
แล้วนั่นแล พระศาสดาทรงเป็นพยานของท่าน ตรัสเรื่อง 2 เรื่อง
แม้ในลักขณสังยุต1เเล้ว. แม้เรื่องนี้ พระเถระนั้น ก็กล่าวไว้อย่างนั้น
เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุรพกรรมของเปรต
นั้น. แม้พระศาสดา ก็ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า:-

บุรพกรรมของอหิเปรต


" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้าง
บรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ใกล้ฝั่งแม่น้ำ. พระปัจเจกพุทธเจ้า
นั้น อยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์.
แม้พวกชาวเมือง มีมือถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่
บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า. บุรุษชาวกรุงพาราณสีคน
หนึ่ง อาศัยหนทางนั้นไถนา. มหาชน เมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า
ย่อมเหยียบย่ำนานั้นไป ทั้งเย็นทั้งเช้า. ชาวนา แม้ห้ามอยู่ว่า "ขอ
พวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้. ครั้งนั้น
ชาวนานั้น ได้มีความคิดอย่างนั้นว่า " ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจก-
พุทธเจ้า ไม่พึงมีในที่นี้ไซร้ ชนทั้งหลายก็ไม่พึงเหยียบย่ำนาของเรา."
ในกาลที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต ชาวนานั้น ทุบภาชนะ
เครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นบรรณศาลา
นั้นถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย. มหาชน ถือของหอมและระเบียบ
ดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า " พระผู้เป็นเจ้าของ
1. สํ. นิ. 16/298.