เมนู

ชัมพุกะ. มหาสมณะ ที่เงื้อมนั่น ไม่มีใครอยู่.
พระศาสดา. ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้เงื้อมนั่นแก่เรา.
ชัมพุกะ. มหาสมณะ ท่านจงรู้เองเถิด.
พระศาสดา ทรงปูผ้านั่ง ประทับนั่งที่เงื้อมแล้ว.

ชัมพุกาชีวกได้บรรลุพระอรหัต


ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่ ทำทิศทั้งสี่ ให้มีแสงสว่างเป็นอัน
เดียวกัน มาสู่ที่บำรุงในปฐมยาม. ชัมพุกะเห็นแสงสว่างแล้ว คิดว่า
" นั่น ชื่อแสงสว่างอะไรกัน ?" ในมัชฌิมยาม ท้าวสักกเทวราชเสด็จ
มาแล้ว. ชัมพุกะเห็นแม้ท้าวสักกเทวราชนั้น คิดว่า "ชื่อว่าใครนั่น ?"
ในปัจฉิมยาม ท้าวมหาพรหม ผู้สามารถยังจักรวาลหนึ่ง ให้สว่างด้วย
นิ้วมือนิ้วหนึ่ง ยังจักรวาลสองจักรวาล ให้สว่างด้วยนิ้วมือ 2 นิ้ว ฯลฯ
ยังจักรวาลสิบจักรวาล ให้สว่างด้วยนิ้วมือ 10 นิ้ว ทำป่าทั้งสิ้นให้มีแสง
สว่างเป็นอันเดียวมาแล้ว. ชัมพุกะเห็นท้าวมหาพรหมแม้นั้น คิดว่า "นั่น
ใครหนอแล ?" ดังนี้แล้ว จึงไปสู่สำนักพระศาสดาแต่เช้าตรู่ กระทำ
ปฏิสันถารแล้ว ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทูลถามพระศาสดาว่า
" มหาสมณะ ใคร ยังทิศทั้งสี่ให้สว่าง มาสู่สำนักของท่านในปฐม-
ยาม ?"
พระศาสดา. ท้าวมหาราชทั้งสี่.
ชัมพุกะ. มาเพราะเหตุไร ?"
พระศาสดา. มาเพื่อบำรุงเรา.
ชัมพุกะ. ก็ท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าท้าวมหาราชทั้งสี่หรือ ?

พระศาสดา. เออ ชัมพุกะ เราแลเป็นพระราชายอดเยี่ยมกว่าพระ-
ราชาทั้งหลาย.
ชัมพุกะ. ก็ในมัชฌิมยาม ใครมา ?
พระศาสดา. ท้าวสักกเทวราช.
ชัมพุกะ. เพราะเหตุไร ?
พระศาสดา. เพื่อบำรุงเราเหมือนกัน .
ชัมพุกะ. ก็ท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าท้าวสักกเทวราชหรือ?
พระศาสดา. เออ ชัมพุกะ, เราเป็นผู้ยอดเยี่ยมแม้กว่าท้าวสักกะ,
ก็ท้าวสักกะนั่น เป็นคิลานุปัฏฐากของเรา เช่นเดียวกับสามเณรผู้เป็น
กัปปิยการก.
ชัมพุกะ. ก็ใคร ยังป่าทั้งสิ้นให้สว่าง มาแล้วในปัจฉิมยาม ?
พระศาสดา. ชนทั้งหลาย มีพราหมณ์เป็นต้น ในโลก จามแล้ว
พลาดพลั้งแล้ว ย่อมกล่าวว่า 'ขอความนอบน้อม จงมี แก่มหาพรหม'
อาศัยผู้ใด ผู้นั้นแหละ เป็นท้าวมหาพรหม.
ชัมพุกะ. ก็ท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมแม้กว่าท้าวมหาพรหมหรือ ?
พระศาสดา. เออ ชัมพุกะ, เราแลเป็นพรหมยิ่งแม้กว่าพรหม.
ชัมพุกะ. มหาสมณะ ท่านเป็นผู้อัศจรรย์, ก็เมื่อเราอยู่ในที่นี้
สิ้น 55 ปี บรรดาเทวดาเหล่านั้น แม้องค์หนึ่ง ก็ไม่เคยมาเพื่อบำรุง
เรา; ก็เราเป็นผู้มีลมเป็นภักษา ยืนอย่างเดียว ให้กาลนานประมาณ
เท่านี้ล่วงไปแล้ว, เทวดาเหล่านั้น ไม่เคยมาสู่ที่บำรุงของเราเลย.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะชัมพุกะนั้นว่า "ชัมพุกะ เธอ
ลวงมหาชนผู้อันธพาลในโลก ยังปรารถนาจะลวงแม้ซึ่งเรา; เธอเคี้ยวกิน

คูถเท่านั้น, นอนบนแผ่นดินอย่างเดียว, เป็นผู้เปลือยเที่ยวไป, ถอนผม
ด้วยท่อนแปรงตาลสิ้น 55 ปี มิใช่หรือ ? ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอลวง
โลก กล่าวว่า ' เราเป็นผู้มีลมเป็นภักษา, ยืนด้วยเท้าข้างเดียว, ไม่นั่ง
ไม่นอน,' ยังเป็นผู้ปรารถนาจะลวงแม้ซึ่งเรา ? แม้ในกาลก่อน เธอ
อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้าลามก เป็นผู้มีคูถเป็นภักษาสิ้นกาลประมาณเท่านี้ เป็น
ผู้นอนเหนือแผ่นดิน เปลือยกายเที่ยวไป ถึงการถอนผมด้วยท่อนแปรง
ตาล, แม้ในบัดนี้ เธอยังถือทิฏฐิอันชั่วช้าลามกเหมือนเดิม."
ชัมพุกะ. มหาสมณะ ก็เราทำกรรมอะไรไว้.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสบอกกรรมที่เขากระทำแล้วในก่อนแก่
ชัมพุกะนั้น. เมื่อพระศาสดา ตรัสอยู่นั่นแหละ ความสังเวชเกิดขึ้นแก่
เขาแล้ว, หิริโอตตัปปะปรากฏแล้ว. เขานั่งกระโหย่งแล้ว. ลำดับนั้น
พระศาสดา ได้ทรงโยนผ้าสาฎกสำหรับอาบน้ำไปให้เขา. เขานุ่งผ้านั้น
แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายพระศาสดา
ตรัสอนุบุพพีกถาแสดงธรรมแก่เขา. ในกาลจบเทศนา เขาบรรลุพระ-
อรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท. ด้วยอาการเพียงเท่านี้ กรรมในก่อนของ
ชัมพุกะนั้นสิ้นแล้ว . ก็ชัมพุกะนี้ ด่าพระมหาเถระผู้ขีณาสพ ด้วยอักโกส-
วัตถุ 4 อย่าง, ไหม้แล้วในอเวจี ตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้น 1 โยชน์
ยิ่งด้วย 3 คาวุต ถึงอาการอันน่าเกลียดนี้สิ้น 55 ปี ด้วยเศษแห่งผล
กรรม ในเพราะการด่านั้น, กรรมนั้นของเธอสิ้นแล้ว เพราะบรรลุพระ-
อรหันต์นั้น, กรรมที่เธอทำแล้วนั้น ไม่อาจยังผลแห่งสมณธรรม ที่
ชัมพุกาชีวกนี้ทำแล้วสิ้น 2 หมื่นปีให้ฉิบหายได้; เพราะฉะนั้น พระ-

ศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก ตรัสกะชัมพุกะนั้นว่า "เธอ
จงเป็นภิกษุมาเถิด, จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด." ขณะนั้นเอง เพศ
คฤหัสถ์ของเธอ หายไปแล้ว. เธอเป็นผู้ทรงบริขาร 8 ได้เป็นประดุจ
พระเถระมีพรรษา 60 แล้ว.

ชัมพุกะบอกความจริงแก่มหาชน


ได้ยินว่า วันนั้น เป็นวันแห่งชาวอังคะและมคธะ ถือสักการะมา
เพื่อชัมพุกะนั่น; เพราะฉะนั้น ชาวแว่นแคว้นทั้งสอง ถือสักการะมาแล้ว
เห็นพระตถาคตแล้ว จึงคิดว่า "ชัมพุกะผู้เป็นเจ้าของพวกเราเป็นใหญ่
หรือหนอแล ? หรือว่า พระสมณโคดมเป็นใหญ่" คิดว่า "ถ้า
พระสมณโคดม พึงเป็นใหญ่, ชัมพุกะนี้ พึงไปสู่สำนักของพระสมณ-
โคดม, แต่เพราะความที่ชัมพุกาชีวกเป็นใหญ่ พระสมณโคดมจึงเสด็จมา
สู่สำนักชัมพุกาชีวกนี้."
พระศาสดา ทรงทราบความปริวิตกของมหาชน จึงตรัสว่า
" ชัมพุกะ เธอจงตัดความสงสัยของพวกอุปัฏฐากของเธอเสีย." เธอ
กราบทูลว่า แม้ข้าพระองค์ ก็หวังพระพุทธดำรัสมีประมาณเท่านี้
เหมือนกัน พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว เข้าฌานที่ 4 ลุกขึ้น เหาะขึ้นสู่
เวหาสประมาณชั่วลำตาล กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นพระศาสดาของข้าพระองค์, ข้าพระองค์เป็นสาวก" แล้วลงมา
ถวายบังคม เหาะขึ้นสู่เวหาสประมาณ 7 ชั่วลำตาลอีก ด้วยอาการอย่างนี้
คือ ประมาณ 2 ชั่วลำตาล ประมาณ 3 ชั่วลำตาล แล้วลงมา ยัง
มหาชนให้ทราบความที่ตนเป็นสาวก. มหาชนเห็นเหตุนั้นแล้ว คิดว่า