เมนู

ทั้งสองย่อมหวั่นไหว; เพราะฉะนั้น เราจึงยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งไว้บนเข่า
ยืนอยู่, ก็เราแลยืนอย่างเดียว ยิ่งกาลให้ล่วงไป ไม่นั่ง ไม่นอน.
ขึ้นชื่อว่าพวกมนุษย์โดยมาก มักเชื่อเพียงถ้อยคำเท่านั้น; เพราะ-
ฉะนั้น ชนชาวแคว้นอังคะและมคธะโดยมาก จึงลือกระฉ่อนว่า "แหม !
น่าอัศจรรย์จริง. ท่านผู้มีตบะชื่อแม้เห็นปานนี้ มีอยู่, ผู้เช่นนี้ พวกเรา
ยังไม่เคยเห็น" ดังนี้แล้ว ย่อมนำสักการะเป็นอันมากไปทุก ๆ เดือน.
อาชีวกนั้น กล่าวว่า "เรากินลมอย่างเดียว, ไม่กินอาหารอย่างอื่น.
เพราะเมื่อเรากินอาหารอย่างอื่น ตบะย่อมเสื่อมไป " ดังนี้แล้ว ไม่
ปรารถนาของอะไรๆ ที่พวกมนุษย์เหล่านั้นนำมา. พวกมนุษย์ อ้อนวอน
บ่อย ๆ ว่า " ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าให้พวกกระผมฉิบหายเลย, การ
บริโภค อันคนผู้มีตบะกล้าเช่นท่านกระทำแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุข แก่พวกกระผม สิ้นกาลนาน." อาชีวก กล่าวว่า "เรา
นั้นไม่ชอบใจอาหารอย่างอื่น" แต่ถูกมหาชนรบกวนด้วยการอ้อนวอน
จึงวางเภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้น อันชนเหล่านั้นนำมา ที่ปลายลิ้น
ด้วยปลายหญ้าคาแล้ว ส่งไป ด้วยคำว่า " พวกท่านจงไปเถิด, เท่านี้
พอละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ท่านทั้งหลาย." อาชีวกนั้น
เป็นคนเปลือย เคี้ยวกินคูถ ถอนผม นอนบนแผ่นดิน ให้กาลล่วงไป
55 ปี ด้วยประการฉะนี้.

พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชัมพุกาชีวก


การตรวจดูสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง1 เป็นพุทธกิจ แม้อัน
1. ปจฺจูสกาเล ปฏิ-อุส-กาล กาลเป็นที่กำจัดตอบซึ่งมืด.

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ทรงละโดยแท้; เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทางพิจารณาดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่งวันหนึ่ง, ชัมพุกาชีวก
นี้ ปรากฏภายในข่ายคือพระญาณแล้ว. พระศาสดา ทรงใคร่ครวญว่า
"อะไรหนอแล จักมี ?" ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัต พร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาของเขาแล้ว ทรงทราบว่า "เราจักทำชัมพุกาชีวกนั้นให้
เป็นต้นแล้ว กล่าวคาถา ๆ หนึ่ง, ในกาลจบคาถา สัตว์ 8 หมื่น 4 พัน
จักตรัสรู้ธรรม อาศัยกุลบุตรนี้ มหาชนจักถึงความสวัสดี" ดังนี้แล้ว
ในวันรุ่งขึ้น เสด็จเที่ยวไปในกรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต เสด็จกลับจาก
บิณฑบาตแล้ว ตรัสกะพระอานนทเถระว่า "อานนท์ เราจักไปสู่สำนัก
ของชัมพุกาชีวก."
อานนท์. พระองค์เท่านั้น จักเสด็จไปหรือ พระเจ้าข้า ?
พระศาสดา. อย่างนั้น เราผู้เดียวจักไป.
พระศาสดา ครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ในเวลาบ่าย เสด็จไปสู่สำนัก
ของชัมพุกาชีวกนั้น. เทวดาทั้งหลาย คิดว่า "พระศาสดาจะเสด็จไปสู่
สำนักของชัมพุกาชีวกในเวลาเย็น, ก็ชัมพุกาชีวกนั้น อยู่บนหินดาด
น่าเกลียด เป็นที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เศร้าหมองด้วยไม้ชำระฟัน,
พวกเราควรให้ฝนตก" ดังนี้แล้ว จึงยังฝนให้ตก ครู่เดียวเท่านั้น
ด้วยอานุภาพของตน. หินดาด ได้สะอาดปราศจากมลทินแล้ว. ลำดับนั้น
เทวดาทั้งหลาย ยังฝนเป็นวิการแห่งดอกไม้ 5 สี ให้ตกลงบนหินดาด
นั้น. ในเวลาเย็น พระศาสดา เสด็จไปสู่สำนักของชัมพุกาชีวกแล้ว ได้
เปล่งพระสุรเสียงว่า "ชัมพุกะ." ชัมพุกะคิดว่า "นั่นใครหนอแล รู้ยาก

เรียกเราด้วยวาทะว่าชัมพุกะ" จึงคิดว่า "นั่นใคร ?"
พระศาสดา. เรา ชัมพุกะ.
ชัมพุกะ. ทำไม มหาสมณะ ?
พระศาสดา. วันนี้ เธอจงให้ที่อยู่ในที่นี้แก่เรา สักคืนหนึ่ง.
ชัมพุกะ. มหาสมณะ ที่อยู่ในที่นี้ ไม่มี.
พระศาสดา. ชัมพุกะ เธออย่ากระทำอย่างนั้น, เธอจงให้ที่อยู่
แก่เรา สักคืนหนึ่ง; ชื่อว่าพวกบรรพชิตย่อมปรารถนาบรรพชิต,
พวกมนุษย์ย่อมปรารถนามนุษย์, พวกปศุสัตว์ย่อมปรารถนาพวกปศุสัตว์.
ชัมพุกะ. ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ ?
พระศาสดา. เออ เราเป็นบรรพชิต.
ชัมพุกะ. ถ้าท่านเป็นบรรพชิต, น้ำเต้าของท่านอยู่ที่ไหน ? ทัพพี
สำหรับโบกควันของท่านอยู่ที่ไหน ? ด้าย1สำหรับบูชายัญของท่านอยู่
ที่ไหน ?
พระศาสดา. น้ำเต้าเป็นต้นนั่น ของเรามีอยู่, แต่การถือเอาเป็น
แผนก ๆ เที่ยวไปลำบาก เพราะฉะนั้น เราจึงเก็บไว้ภายในเท่านั้นเที่ยว
ไป. อาชีวกนั้นโกรธว่า "ท่านจักไม่ถือน่าเต้าเป็นต้นนั่นเที่ยวไปได้
หรือ ?" ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะอาชีวกนั้นว่า "ช่างเถอะ
ชัมพุกะ, เธออย่าโกรธเลย. เธอจงบอกที่อยู่แก่เราเถิด." เขากล่าวว่า
"มหาสมณะ ที่อยู่ในที่นี้ ไม่มี."
พระศาสดา เมื่อจะทรงชี้เงื้อมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่
อยู่ของเขา จึงตรัสว่า "ที่เงื้อมนั่น ใครอยู่ ?"
1. ยัชโญปวีต สายเครื่องหมายวรรณะพราหมณ์.

ชัมพุกะ. มหาสมณะ ที่เงื้อมนั่น ไม่มีใครอยู่.
พระศาสดา. ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้เงื้อมนั่นแก่เรา.
ชัมพุกะ. มหาสมณะ ท่านจงรู้เองเถิด.
พระศาสดา ทรงปูผ้านั่ง ประทับนั่งที่เงื้อมแล้ว.

ชัมพุกาชีวกได้บรรลุพระอรหัต


ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่ ทำทิศทั้งสี่ ให้มีแสงสว่างเป็นอัน
เดียวกัน มาสู่ที่บำรุงในปฐมยาม. ชัมพุกะเห็นแสงสว่างแล้ว คิดว่า
" นั่น ชื่อแสงสว่างอะไรกัน ?" ในมัชฌิมยาม ท้าวสักกเทวราชเสด็จ
มาแล้ว. ชัมพุกะเห็นแม้ท้าวสักกเทวราชนั้น คิดว่า "ชื่อว่าใครนั่น ?"
ในปัจฉิมยาม ท้าวมหาพรหม ผู้สามารถยังจักรวาลหนึ่ง ให้สว่างด้วย
นิ้วมือนิ้วหนึ่ง ยังจักรวาลสองจักรวาล ให้สว่างด้วยนิ้วมือ 2 นิ้ว ฯลฯ
ยังจักรวาลสิบจักรวาล ให้สว่างด้วยนิ้วมือ 10 นิ้ว ทำป่าทั้งสิ้นให้มีแสง
สว่างเป็นอันเดียวมาแล้ว. ชัมพุกะเห็นท้าวมหาพรหมแม้นั้น คิดว่า "นั่น
ใครหนอแล ?" ดังนี้แล้ว จึงไปสู่สำนักพระศาสดาแต่เช้าตรู่ กระทำ
ปฏิสันถารแล้ว ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทูลถามพระศาสดาว่า
" มหาสมณะ ใคร ยังทิศทั้งสี่ให้สว่าง มาสู่สำนักของท่านในปฐม-
ยาม ?"
พระศาสดา. ท้าวมหาราชทั้งสี่.
ชัมพุกะ. มาเพราะเหตุไร ?"
พระศาสดา. มาเพื่อบำรุงเรา.
ชัมพุกะ. ก็ท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าท้าวมหาราชทั้งสี่หรือ ?