5. เรื่องพระอุทายีเถระ [49]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอุทายี-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล" เป็นต้น.
คนไม่รู้มักถือตัว
ได้ยินว่า พระอุทายีเถระนั้น เมื่อพระเถระผู้ใหญ่หลีกไปแล้ว ไปสู่
โรงธรรมแล้ว นั่งบนธรรมาสน์. ต่อมาวันหนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะเห็น
พระอุทายีเถระนั้นแล้วเข้าใจว่า " ภิกษุนี้จักเป็นพระมหาเถระผู้พหูสูต"
จึงถามปัญหาปฏิสังยุตด้วยขันธ์เป็นต้นแล้ว ติเตียนท่านผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งพระ-
พุทธวจนะอะไร ๆ ว่า "นี่พระเถระอะไร ? อยู่ในพระวิหารเดียวกัน
กับพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้ธรรมแม้สักว่าขันธ์ธาตุและอายตนะ" ดังนี้แล้ว
จึงกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระตถาคต. ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อ
จะทรงแสดงธรรมแก่พวกภิกษุอาคันตุกะนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
5. ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ
น โส ธมฺมํ วิชานาติ ทพฺพี สูปรสํ ยถา.
"ถ้าคนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่ แม้จน
ตลอดชีวิต, เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รส
แกงฉะนั้น."
พึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานี้ว่า :-
"ชื่อว่าคนพาลนี้ เข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิต แม้จนตลอดชีวิต
ย่อมไม่รู้ปริยัติธรรมอย่างนี้ว่า 'นี้เป็นพระพุทธพจน์ พระพุทธพจน์
มีประมาณเท่านี้' หรือซึ่งปฏิปัตติธรรมและปฏิเวธธรรมอย่างนี้ว่า 'ธรรม
นี้เป็นเครื่องอยู่. ธรรมนี้เป็นมรรยาท, นี้เป็นโคจรกรรม นี้เป็นไป
กับด้วยโทษ. กรรมนี้หาโทษมิได้. กรรมนี้ควรเสพ; กรรมนี้ไม่ควรเสพ;
สิ่งนี้พึงแทงตลอด, สิ่งนี้ควรกระทำให้แจ้ง."
ถามว่า " เหมือนอะไร ?"
แก้ว่า " เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น."
อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ทัพพี แม้คนแกงต่างชนิด มีประการ
ต่าง ๆ อยู่จนกร่อนไป ย่อมไม่รู้รสแกงป่า 'นี้รสเค็ม, นี้รสจืด, นี้รส
ขม, นี้รสขื่น, นี้รสเผ็ด, นี้รสเปรี้ยว, นี้รสฝาด ฉันใด; คนพาลเข้า
ไปนั่งใกล้บัณฑิตลอดชีวิต ย่อมไม่รู้ธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ฉันนั้น
เหมือนกัน.
ในกาลจบเทศนา จิตของพวกภิกษุอาคันตุกะ หลุดพ้นแล้วจาก
อาสวะทั้งหลาย ดังนี้แล.
เรื่องพระอุทายีเถระ จบ.
6. เรื่องภิกษุชาวเมืองปาฐา [50]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุชาว
เมืองปาฐา ประมาณ 30 รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มุหุตฺตมปิ
เจ วิญฺญู" เป็นต้น.
ภิกษุสมาทานธุดงค์
ความพิสดารว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมคราวแรกในชัฎ
แห่งป่าไร่ฝ้ายแก่สหาย 30 นั้น ผู้แสวงหาหญิงอยู่. ในกาลนั้น สหาย
ทั้งหมดเทียว ถึงความเป็นเอหิภิกขุ เป็นผู้ทรงบาตรและจีวร อันสำเร็จ
แล้วด้วยฤทธิ์ สมาทานธุดงค์ 13 ประพฤติอยู่ โดยล่วงไปแห่งกาลนาน
เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแม้อีก ฟังอนมตัคค1ธรรมเทศนา บรรลุพระอรหัต
แล้ว อาสนะนั้นนั่นเอง.
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในธรรมสภาว่า " น่าอัศจรรย์หนอ !
ภิกษุเหล่านี้ รู้แจ้งธรรมพลันทีเดียว." พระศาสดา ทรงสดับกถานั้น
แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น, แม้ในกาลก่อน
ภิกษุเหล่านี้เป็นนักเลง เป็นสหายกันประมาณ 30 คน ฟังธรรมเทศนา
ของสุกรชื่อมหาตุณฑิละ ในตุณฑิลชาดก2 รู้แจ้งธรรมได้ฉับพลันทีเดียว
สมาทานศีล 5 แล้ว. เพราะอุปนิสัยนั้นนั่นเอง เขาเหล่านั้น จึงบรรลุ
พระอรหัต ณ อาสนะที่ตนนั่งแล้วทีเดียวในกาลบัดนี้ " ดังนี้แล้ว เมื่อ
1. สํ. นิทาน. 16/202. 2. ขุ. ชา. ฉักก. 27/200. อรรถกถา 5/78.