เมนู

พระคาถานี้ว่า:-
3. ปุตฺตา มตฺถิ ธนมตฺถิ อิติ พาโล วิหญฺญติ
อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ.
"คนพาล ย่อมเดือดร้อนว่า 'บุตรทั้งหลาย
ของเรามีอยู่, ทรัพย์ (ของเรา) มีอยู่,' ตนแล
ย่อมไม่มีแก่ตน, บุตรทั้งหลายจักมีแต่ที่ไหน ? ทรัพย์
จักมีแต่ที่ไหน ?"

แก้อรรถ


พึงทราบเนื้อความแห่งคาถานี้ว่า :-
"คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยความอยากในบุตร และด้วยความ
อยากในทรัพย์ว่า 'บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่, ทรัพย์ของเรามีอยู่.' คือ
ย่อมลำบาก ย่อมถึงทุกข์; คือย่อมเดือดร้อนว่า "บุตรทั้งหลายของเรา
ฉิบหายแล้ว," ย่อมเดือดร้อนว่า "ฉิบหายอยู่," ย่อมเดือดร้อนว่า
" จักฉิบหาย." แม้ในทรัพย์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. คนพาลย่อมเดือดร้อน
ด้วยอาการ 6 อย่าง ด้วยประการฉะนี้, คนพาลแม้พยายามอยู่ในที่ทั้งหลาย
มีทางบกและทางน้ำเป็นต้น ทั้งกลางคืนและกลางวันโดยประการต่าง ๆ
ด้วยคิดว่า "เราจักเลี้ยงบุตรทั้งหลาย" ชื่อว่าย่อมเดือดร้อน, แม้ทำกรรม
ทั้งหลายมีการทำนาและการค้าขายเป็นต้น ด้วยคิดว่า "เราจักยังทรัพย์
ให้เกิดขึ้น" ชื่อว่าย่อมเดือดร้อนเหมือนกัน; ก็เมื่อเขาเดือดร้อนอยู่อย่างนั้น
ตนแลชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน, เมื่อเขาไม่อาจทำคนที่ถึงทุกข์ด้วยความคับแค้น
นั้นให้ถึงสุขได้ แม้ในปัจจุบันกาล ตนของเขาแล ชื่อว่าย่อมไม่มี

แก่ตน, เมื่อเขานอนแล้วบนเตียงเป็นที่ตาย ถูกเวทนาทั้งหลายมีความตาย
เป็นที่สุด เผาอยู่ราวกะว่าถูกเปลวเพลิงเผาอยู่ เมื่อเครื่องต่อและเครื่องผูก
(เส้นเอ็น ) จะขาดไป เมื่อร่างกระดูกจะแตกไป แม้เมื่อเขาหลับตา
เห็นโลกหน้า ลืมตาเห็นโลกนี้อยู่ ตนแลแม้อันเขาให้อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง
ให้บริโภควันละ 3 ครั้ง ประดับด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น
เลี้ยงแล้วตลอดชีวิต ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน เพราะความที่ตนเป็นผู้ไม่
สามารถจะทำเครื่องต้านทานทุกข์โดยความเป็นสหายได้; บุตรจักมีแต่
ที่ไหน ? ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน ? คือว่าในสมัยนั้น; บุตรหรือทรัพย์
จักทำอะไรได้เล่า ? แม้เมื่ออานนท์เศรษฐีไม่ให้อะไร ๆ แก่ใคร ๆ
รวบรวมทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่บุตร นอนบนเตียงเป็นที่ตายในกาลก่อน
ก็ดี ถึงทุกข์นี้ในบัดนี้ก็ดี, บุตรแต่ที่ไหน ? ทรัพย์แต่ที่ไหน ? คือว่า
บุตรหรือทรัพย์นำทุกข์อะไรไปได้ ? หรือให้สุขอะไรเกิดขึ้นได้เล่า ?"
ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ 84,000, เทศนา
ได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องอานนทเศรษฐี จบ.

4. เรื่องโจรผู้ทำลายปม [48]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกโจรผู้
ทำลายปม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ"
เป็นต้น.

โจรลักของที่ขอดไว้ที่พกผ้า


ได้ยินว่า โจร 2 คนนั้นเป็นสหายกัน ไปสู่พระเชตวันกับมหาชน
ผู้ไปอยู่เพื่อต้องการฟังธรรม. โจรคนหนึ่งได้ฟังธรรมกถาแล้ว, โจร
คนหนึ่งมองดูของที่ตนควรถือเอา. บรรดาโจรทั้งสองนั้น โจรผู้ฟังธรรม
อยู่ บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. โจรนอกนี้ได้ทรัพย์ประมาณ 5 มาสกที่
ขอดไว้ที่ชายผ้าของอุบาสกคนหนึ่ง. ทรัพย์นั้นเป็นค่าอาหารในเรือนของ
เขาแล้ว. ย่อมไม่สำเร็จผลในเรือนของโจรผู้โสดาบันนอกนี้.
ครั้งนั้น โจรผู้สหายกับภรรยาของตน เมื่อจะเย้ยหยันโจรผู้
โสดาบันนั้น จึงกล่าวว่า "ท่านไม่ยังแม้ค่าอาหารให้สำเร็จในเรือนของตน
เพราะความที่คนฉลาดเกินไป." สหายผู้โสดาบันนอกนี้คิดว่า " เจ้าคนนี้
ย่อมสำคัญความที่คนเป็นบัณฑิต ด้วยความเป็นพาลทีเดียวหนอ" เพื่อ
จะกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดา จึงไปสู่พระเชตวันกับญาติ
ทั้งหลาย กราบทูลแล้ว.

ผู้รู้สึกตัวว่าโง่ย่อมเป็นบัณฑิตได้


พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่เขา จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-