เมนู

ทูลถามพระราชานั้นเถิด" ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะ กราบทูล
เนื้อความนั้นแล้ว ทูลว่า " ขอเดชะ เมื่อพระองค์ถึงความเป็นผู้ขวนขวาย
น้อยเสียแล้ว ขัตติยวงศ์จักขาดสูญ, ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พำนักแห่ง
ขัตติยวงศ์นั้นเถิด."
ท้าวสักกะตรัสว่า "แม้เราก็ไม่อาจเพื่อจะห้ามพระราชานั้น, แต่
จักบอกอุบายแก่ท่าน" แล้วทรงบอกอุบายว่า "ไปเถิดท่าน. เมื่อพระ-
ราชาทรงเห็นอยู่นั้นแหละ. ท่านจงนุ่งผ้าแดง แสดงอาการดุจออกไปจาก
ต้นไม้ของตน, เมื่อเช่นนั้น พระราชาทรงดำริว่า 'เทวดาของเราไปอยู่'
เราจักให้เทวดานั้นกลับมา" แล้วจักอ้อนวอนท่านด้วยประการต่าง ๆ,
เมื่อเช่นนั้น ท่านพึงกล่าวกะพระราชานั้นว่า 'ท่านบนต่อเราไว้ว่า จัก
นำพระราชา 101 กับพระอัครมเหสีทั้งหลายมาทำพลีด้วยโลหิตในลำพระ-
ศอของพระราชาเหล่านั้น' (แต่) ทรงทิ้งพระเทวีของพระอุคคเสนไว้
แล้วเสด็จมา; เราจักไม่รับพลีของคนผู้มักพูดเท็จ เช่นกับพระองค์; นัยว่า
เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้น พระราชาจักให้นำพระเทวีนั้นมา, พระเทวีนั้น
จักแสดงธรรมแก่พระราชา ให้ชีวิตทานแก่ชนมีประมาณเท่านี้." ท้าว-
สักกะ ตรัสบอกอุบายนี้แก่เทวดาด้วยเหตุนี้. เทวดาได้กระทำตามนั้น
แล้ว แม้พระราชาก็รับสั่งให้นำพระเทวีนั้นมาแล้ว.

เทวดาบูชาพระนางมัลลิกา


พระเทวีนั้นมาถวายบังคมพระราชา (ผู้สวามี) ของตนเท่านั้น
แม้ประทับนั่ง ณ ที่สุดแห่งพระราชาเหล่านั้น, พระราชากริ้วต่อพระเทวี
นั้นว่า "เมื่อเราดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้ใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง นางยัง
ไหว้สามีของตน ซึ่งเป็นผู้น้อยกว่าพระราชาทั้งปวงได้." ลำดับนั้น

พระเทวีทูลพระราชานั้นว่า "เรื่องอะไรของหม่อมฉันต้องเกี่ยวข้องใน
พระองค์เล่า ? ก็พระราชาพระองค์นี้ เป็นสามีผู้ให้ความเป็นใหญ่แก่
หม่อมฉัน, หม่อมฉันไม่ไหว้พระราชาพระองค์นี้แล้ว จักไหว้พระองค์
เพราะเหตุไร ?" เมื่อชนนั้นเห็นอยู่นั้นเทียว รุกขเทวดากล่าวว่า "อย่าง
นั้น พระเทวีผู้เจริญ. อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ" แล้วบูชาพระเทวี
นั้น ด้วยดอกไม้กำมือหนึ่ง.
พระราชา ตรัสอีกว่า "ถ้าเธอไม่ไหว้เราไซร้. เพราะเหตุไร
จึงไม่ไหว้เทวดาของเราผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ผู้ให้สิริแห่งความเป็น
พระราชาเล่า ?" พระเทวีทูลว่า "ข้าแต่มหาราช พระราชาทั้งหลาย
อันพระองค์ทรงตั้งอยู่ในบุญของพระองค์ จึงจับได้, ไม่ใช่เทวดาจับ
ถวาย." เทวดากล่าวกะพระเทวีอีกว่า "อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ,
อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ" แล้วบูชาเหมือนอย่างนั้น.
พระเทวีนั้นทูลพระราชาอีกว่า " พระองค์ตรัสว่า ' พระราชา
ทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ เทวดาจับให้แก่เรา.' บัดนี้ ต้นไม้ถูกไฟไหม้
ณ ข้างซ้ายในเบื้องบนแห่งเทวดาของพระองค์ เพราะเหตุไร เทวดานั้น
จึงไม่อาจเพื่อจะยังไฟนั้นให้ดับได้ ? ถ้าเทวดามีอานุภาพมากอย่างนั้น."
เทวดากล่าวกะพระเทวีแม้อีกว่า " อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ. อย่างนั้น
พระเทวีผู้เจริญ " แล้วบูชาเหมือนอย่างนั้น.
พระเทวียืนตรัสอยู่ ทั้งทรงพระกันแสง ทั้งทรงพระสรวล. ลำดับ
นั้น พระราชา ตรัสกะพระเทวีนั้นว่า "เธอเป็นบ้าหรือ ?"
พระเทวี. ขอเดชะ เพราะเหตุไร ? พระองค์จึงตรัสอย่างนั้น,
หญิงทั้งหลายผู้เช่นกับหม่อมฉัน ไม่ใช่เป็นบ้า.

พระราชา เมื่อเช่นนั้น เพราะเหตุไร เธอจึงร้องไห้และหัวเราะ ?
พระเทวี ทูลว่า "ขอพระองค์จงสดับเถิด มหาราช; ก็ในอดีต-
กาล หม่อมฉันเป็นกุลธิดา เมื่ออยู่ในตระกูลสามี เห็นแขกผู้เป็นสหาย
ของสามีมาแล้ว ใคร่เพื่อหุงข้าวเพื่อแขกนั้น จึงให้กหาปณะแก่นางทาสี
ด้วยสั่งว่า ' เจ้าจงซื้อเนื้อมา' เมื่อนางทาสีนั้นไม่ได้เนื้อมาแล้ว กล่าวว่า
' เนื้อไม่มี ' จึงตัดศีรษะแม่แพะที่นอนอยู่เบื้องหลังเรือน จัดแจงภัต
เสร็จ; หม่อมฉันนั้น ตัดศีรษะแม่แพะตัวเดียว ไหม้ในนรก ด้วยเศษ
ผลแห่งกรรม จึงได้ถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแม่แพะนั้น; พระองค์
สำเร็จโทษชนมีประมาณเท่านี้ เมื่อไรจักพ้นจากทุกข์ หม่อมฉันระลึกถึง
ทุกข์อันใหญ่ของพระองค์ดังนี้ อย่างนั้นจึงร้องไห้" ดังนี้แล้ว จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
" หม่อมฉันตัดคอแม่แพะตัวเดียว ไหม้อยู่แล้ว
( ในนรก ) ด้วยการนับขน ( แพะ ), ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เป็นกษัตริย์ พระองค์ตัดคอของมนุษย์เป็นอัน
มาก จักกระทำอย่างไร ?"

พระราชา. เมื่อเช่นนั้น เธอหัวเราะเพราะเหตุไร ?
พระเทวี. ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันยินดีว่า เราพ้นจากทุกข์นั้น
แล้ว' จึงหัวเราะ.
เทวดากล่าวกะพระเทวีนั้นอีกว่า " อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ,
อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ" แล้วบูชาด้วยดอกไม้กำมือหนึ่ง.
พระราชา ทรงดำริว่า "น่าสลด ! กรรมของเราหนัก ได้ยินว่า
พระเทวีนี้ ฆ่าแม่แพะตัวเดียว ไหม้ในนรกแล้ว ด้วยเศษแห่งผลกรรม

ถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแห่งแม่แพะนั้น, เราฆ่าชนมีประมาณเท่านี้
จักถึงความสวัสดีเมื่อไร ?" ดังนี้แล้ว จึงทรงปล่อยพระราชาทั้งหมด
ถวายบังคมพระราชาผู้แก่กว่าตน ทรงประคองอัญชลีแก่พระราชาที่หนุ่ม
กว่า ยังพระราชาทั้งหมดให้ทรงอดโทษแล้ว ทรงส่งไปสู่ที่ของตน ๆ
อย่างเดิม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
" อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย พระนางมัลลิกาอาศัยปัญญาของตน ประทาน
ชีวิตทานแก่มหาชนในบัดนี้เท่านั้นหามิได้. ถึงในกาลก่อน พระนางก็ได้
ประทานแล้วเหมือนกัน" แล้วทรงประชุมเรื่องอดีตว่า " พระเจ้า
พาราณสี ในกาลนั้น ได้เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล, พระนางธัมมทินนาเทวี
เป็นพระนางมัลลิกา, รุกขเทวดาคือเราเอง." ครั้นทรงประชุมเรื่องอดีต
อย่างนั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมอีก จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าปาณาติบาตเป็นโทษ ไม่สมควรที่บุคคลจะพึงกระทำ, เพราะว่า
บุคคลผู้ฆ่าสัตว์เป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน" จึงตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
"ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติสมภพ
นี้เป็นทุกข์, สัตว์ไม่พึงฆ่าสัตว์ เพราะว่า ผู้ฆ่าสัตว์
เป็นปกติ ย่อมเศร้าโศก."

เรื่องบุรุษคนใดคนหนึ่ง จบ.

2. เรื่องสัทธิวิหาริกของพระมหากัสสปเถระ [46]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภสัทธิวิหาริก
ของพระมหากัสสปเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "จรญฺเจ นาธิคจฺ-
เฉยฺย"
เป็นต้น.

ผู้เกียจคร้านมักอ้างความดีของคนอื่น


เทศนาตั้งขึ้นในกรุงราชคฤห์. ได้ยินว่า สัทธิวิหาริก 2 รูป
อุปัฏฐากพระเถระผู้อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ในถ้ำปิปผลิ. บรรดาภิกษุ 2 รูป
นั้น รูปหนึ่งกระทำวัตรโดยเคารพ, รูปหนึ่งแสดงวัตรที่ภิกษุนั้นกระทำ
แล้วเป็นเหมือนคนกระทำ รู้ความที่น้ำล้างหน้าและไม้ชำระฟันอันภิกษุ
นั้นจัดแจงแล้ว จึงเรียน ( พระเถระ) ว่า "น้ำล้างหน้าและไม้ชำระฟัน
กระผมจัดแจงแล้ว ขอรับ, ขอท่านจงล้างหน้าเถิด." แม้ในกาลทำกิจมี
การล้างเท้าและสรงน้ำเป็นต้น ก็ย่อมเรียนอย่างนั้นเหมือนกัน.
ภิกษุนอกนี้ คิดว่า "ภิกษุนี้ย่อมแสดงวัตรที่เรากระทำแล้ว เป็น
เหมือนว่าตนกระ.แล้วตลอดกาลเป็นนิตย์, ช่างเถิดข้อนั้น, เราจัก
กระทำสิ่งที่ควรกระทำแก่เธอ;" เมื่อภิกษุนั้น ฉันแล้ว หลับอยู่นั่นแล,
ต้มน้ำอาบแล้ว ตักใส่ในหม้อใบหนึ่ง ตั้งไว้หลังซุ้ม. แต่ให้เหลือนั่นไว้
ในภาชนะต้มน้ำประมาณกระบวยหนึ่ง แล้วดังไว้ให้พ่นไออยู่.