เมนู

อยู่ ด้วยคิดว่า 'เป็นครู' บอกแก่สาวกของพระตถาคตว่า 'ย่อมรู้
ทุกอย่าง' เพราะเหตุไร ? สินไหมอันเจ้ายกขึ้นปรับ จงมีแก่เจ้าเอง
เถิด.
ครหทินน์นั้นแล อันพระราชาทรงปรับสินไหมแล้ว ด้วยอาการ
อย่างนั้น. พวกนิครนถ์ เข้าถึงสกุลของครหทินน์นั้นนั่นแล อันสิริคุตต์
โบยไล่ออกแล้ว.

ครหทินน์เตรียมแก้แค้นสิริคุตต์


ครหทินน์นั้น โกรธสิริคุตต์นั้นแล้ว จำเดิมแต่นั้น ไม่พูดกับ
ด้วยสิริคุตต์ เป็นเวลาประมาณกึ่งเดือน คิดว่า "การเที่ยวไปโดยอาการ
อย่างนั้น ไม่ควรแก่เรา. การที่เราทำความฉิบหาย แม้แก่พวกภิกษุผู้เข้า
ถึงสกุลของสิริคุตต์นั้น ย่อมควร" ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปหาสิริคุตต์
กล่าวว่า "สหาย สิริคุตต์."
สิริคุตต์. อะไร ? สหาย.
ครหทินน์. ธรรมดาญาติและสหายทั้งหลาย ย่อมมีการทะเลาะ
กันบ้าง วิวาทกันบ้าง, ท่านไม่พูดอะไรๆ, เพราะเหตุอะไร ท่านจึง
ทำอย่างนั้น ?
สิริคุตต์. สหาย ข้าพเจ้าไม่พูด ก็เพราะท่านไม่พูดกับข้าพเจ้า
กรรมใดอันข้าพเจ้าทำแล้ว. กรรมนั้นจงเป็นอันทำแล้วเถิด เราทั้งสอง
จักไม่ทำลายไมตรีกัน.
จำเดิมแต่กาลนั้น สหายทั้งสองย่อมยืน ย่อมนั่ง ในที่แห่งเดียว
กัน. ต่อมาในกาลวันหนึ่ง สิริคุตต์กล่าวกะครหทินน์ว่า " ประโยชน์

อะไรของท่านด้วยพวกนิครนถ์เล่า ? ท่านเข้าไปพานิครนถ์เหล่านั้นจักได้
อะไร ? การเข้าไปหาพระศาสดาของเราก็ดี การถวายทานแก่พระผู้เป็น
เจ้าทั้งหลายก็ดี จะไม่ควรแก่ท่านหรือ ?" แม้ครหทินน์นั้นย่อมหวัง
เหตุนี้เหมือนกัน, เพราะฉะนั้น คำพูดของสิริคุตต์นั้น จึงได้เป็นเหมือน
เกาที่แผลฝีด้วยเล็บ. แม้ครหทินน์นั้น ถามสิริคุตต์ว่า "พระศาสดา
ของท่านย่อมรู้อะไร?"
สิริคุตต์. ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าพูดอย่างนั้น, ขึ้นชื่อว่าสิ่งอัน
พระศาสดาของเราไม่รู้ไม่มี; พระศาสดาของเรานั้น ย่อมรู้เหตุทั้งหมด
ต่างโดยเหตุที่เป็นอดีตเป็นต้น, ย่อมกำหนดจิตของสัตว์ทั้งหลายโดย
อาการ 16 อย่างได้.
ครหทินน์. ข้าพเจ้าไม่ทราบอย่างนั้น, เพราะเหตุอะไร ท่านจึง
ไม่บอกแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ? ถ้ากระนั้นท่านจงไป,
จงทูลนิมนต์พระศาสดา เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจักให้เสวย. ท่าน
จงกราบทูล เพื่อทรงรับภิกษาของข้าพเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป
สิริคุตต์เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า
" พระเจ้าข้า ครหทินน์สหายของข้าพระองค์ สั่งให้ทูลนิมนต์พระองค์,
ทราบว่า ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของครหทินน์นั้นพร้อมด้วยภิกษุ 500
รูปในวันพรุ่งนี้ ; ก็ในวันก่อนแล กรรมชื่อนี้ อันข้าพระองค์ทำแล้ว
แก่พวกนิครนถ์ ผู้เข้าถึงสกุลของครหทินน์นั้น, ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบ
แม้การทำตอบ แก่กรรมอันข้าพระองค์ทำแล้ว, ข้าพระองค์ไม่ทราบ
แม้ความที่ครหทินน์นั้น ใคร่จะถวายภิกษาแก่พระองค์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์,
พระองค์ทรงพิจารณาแล้ว, หากสมควร, จงทรงรับ, หากไม่สมควร,

อย่าทรงรับ." พระศาสดาทรงพิจารณาว่า " ครหทินน์นั้น ใคร่จะถวาย
แก่เราหรือหนอแล ?" ได้ทรงเห็นว่า "ครหทินน์นั้น ให้คนขุดหลุม
ใหญ่ในระหว่างเรือน 2 หลังแล้ว ให้คนนำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80
เล่มเกวียนจุดไฟแล้ว ต้องการจะให้เราตกลงในหลุมถ่านเพลิงแล้วข่มขี่"
ทรงพิจารณาอีกว่า "เพราะเราไปในที่นั้นเป็นปัจจัย ประโยชน์จะมีหรือ
ไม่มีหนอแล ? ลำดับนั้น ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า " เราจักเหยียดเท้า
บนหลุมถ่านเพลิง. เสื่อลำแพนที่วางปิดหลุมถ่านเพลิงนั้น จักหายไป,
ดอกบัวใหญ่ประมาณเท่าล้อ จักผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิง, เมื่อเป็น
เช่นนั้น เราจักเหยียบกลีบบัว ไปนั่งบนอาสนะ, ภิกษุทั้ง 500 จักไป
นั่งอย่างนั้นเหมือนกัน; มหาชนจักประชุมกัน, เราจักทำอนุโมทนาด้วย
คาถา 2 คาถา ในสมาคมนั้น, ในเวลาจบอนุโมทนา ความตรัสรู้ธรรม
จักมีแก่สัตว์ 8 หมื่น 4 พัน. สิริคุตต์และครหทินน์ จักเป็นโสดาบัน
จักหว่านกองทรัพย์ของตน ๆ ในศาสนา; การที่เราอาศัยกุลบุตรนี้ไป
ย่อมสมควร" ดังนี้แล้ว จึงทรงรับภิกษา. สิริคุตต์ทราบการรับของ
พระศาสดาแล้ว จึงบอกแก่ครหทินน์ แล้วบอกว่า "ท่านจงทำสักการะ
แก่พระโลกเชษฐ์."

ครหทินน์เตรียมรับพระศาสดา


ครหทินน์ คิดว่า "บัดนี้ เราจักรู้กิจที่ควรทำแก่พระสมณโคดม
นั้น" จึงให้ขุดหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน 2 หลัง ให้นำไม้ตะเคียน
มาประมาณ 80 เล่มเกวียน ให้จุดไฟสุมตลอดคืนยังรุ่งแล้ว ให้ทำกอง
ถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบบนปากหลุม ให้ปิดด้วยเสื่อลำแพน