เมนู

ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ด้วยเพศที่คนอื่นไม่รู้จัก กราบทูล
อย่างนั้นว่า1:-
"ข้าแต่พระมหาวีระ ผู้มีบุญมาก รุ่งเรื่องด้วย
ฤทธิ์ ด้วยยศ ล่วงเสียได้ซึ่งเวรและภัยทั้งปวง
ผู้มีจักษุ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งสอง.
ข้าแต่พระมหาวีระ สาวกของพระองค์ อันความตาย
ครอบงำ ย่อมจำนง คิดถึงความตาย, ข้าแต่พระองค์
ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรื่อง ขอพระองค์จงทรงห้ามพระ-
สาวกนั้น, ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปรากฏในหมู่ชน
สาวกของพระองค์ยินดีแล้วในศาสนา (แต่) มีธรรม
มีในใจยังมิได้บรรลุ ยังเป็นผู้จะต้องศึกษา จะพึงทำ
กาละเสียอย่างไรเล่า ?"

มารแสวงหาวิญญาณของพระโคธิกะ


ในขณะนั้น พระเถระนำศัสตรามาแล้ว. พระศาสดาทรงทราบว่า
" ผู้นี้ เป็นมาร " จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
"ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนั้นแล ย่อมไม่
จำนงชีวิต, โคธิกะ ถอนตัณหาขึ้นพร้อมทั้งราก
ปรินิพพานแล้ว."

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จไปสู่ที่พระเถระนำศัสตรา
มานอนอยู่แล้ว พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก. ขณะนั้น มารผู้ลามกคิดว่า
" ปฏิสนธิวิญญาณของพระโคธิกะนี้ ตั้งอยู่แล้วในที่ไหนหนอแล ?"
1. สํ. ส. 15/177.

ดังนี้แล้ว เป็นดุจกลุ่มควันและก้อนเมฆ แสวงหาวิญญาณของพระเถระ
ในทิศทั้งปวง. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความที่มารนั้น เป็นควัน
และก้อนเมฆนั้น แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้
ลามกนั่นแล แสวงหาวิญญาณของกุลบุตรชื่อโคธิกะอยู่ ด้วยคิดว่า
'วิญญาณของกุลบุตรชื่อโคธิกะตั้งอยู่แล้ว ณ ที่ไหน ?' ภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรชื่อโคธิกะมีวิญญาณไม่ตั้งอยู่เลย ปรินิพพานแล้ว." แม้มาร
เมื่อไม่อาจเห็นที่ตั้งวิญญาณของพระโคธิกะนั้นได้ จึงแปลงเพศเป็นกุมาร
ถือพิณมีสีเหลืองดุจผลมะตูม เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามว่า :-
" ข้าพระองค์เที่ยวแสวงหาอยู่ ในทิศเบื้องบน
เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ทิศใหญ่ ทิศน้อย ก็มิได้
ประสบ, พระโคธิกะนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน ?"

ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะมารนั้นว่า :-
" ภิกษุชื่อโคธิกะ เป็นปราชญ์ สมบูรณ์ด้วย
ปัญญาเครื่องทรงจำ มีณาน ยินดีแล้วในณาน
ในกาลทุกเมื่อ ประกอบความเพียรทั้งกลางวัน
กลางคืน ไม่ไยดีชีวิต ชนะเสนาแห่งมัจจุได้แล้ว
ไม่มาสู่ภพอีก ถอนตัณหาพร้อมทั้งราก ปรินิพพาน
แล้ว. "

เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว, พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมาร
นั้น ผู้อันความโศกครอบงำ ลำดับนั้น ยักษ์นั้นเสียใจ ได้หายไปในที่นั้น
นั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.

แม้พระศาสดา ตรัสว่า "มารผู้ลามก เจ้าต้องการอะไรด้วย
สถานที่กุลบุตรชื่อโคธิกะเกิดแล้ว. เพราะคนอย่างเจ้า ตั้งร้อย ตั้งพัน
ก็ไม่อาจจะเห็นที่ที่โคธิกะนั้นเกิด" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
11. เตส สมฺปนฺนสีลานํ อุปฺปมาทวิหารินํ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ มาโร มคฺคํ น วินฺทติ.
"มาร ย่อมไม่ประสบพางของท่านผู้มีศีลถึง
พร้อมแล้ว มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท พ้นวิเศษ
แล้ว เพราะรู้ชอบ เหล่านั้น.

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตสํ คือ แห่งท่านที่ปรินิพพาน
เหมือนอย่างกุลบุตรชื่อโคธิกะ มีวิญญาณไม่ตั้งอยู่ ปรินิพพานแล้วฉะนั้น
บทว่า สมฺปนฺนสีลานํ คือ ผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว. บทว่า อปฺป-
มาทวิหารินํ
คือ ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือ ความไม่อยู่
ปราศจากสติ.
บาทพระคาถาว่า สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ ความว่า ผู้พ้นวิเศษ
แล้ว ด้วยวิมุตติ 5 เหล่านั้น คือ "ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ สมุจ-
เฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ" เพราะรู้โดยเหตุ คือโดย
นัย โดยการณ์.
บาทพระคาถาว่า มาโร มคิคํ น วินฺทติ ความว่า มารแม้
แสวงหาอยู่ โดยเต็มกำลัง ย่อมไม่ประสบ คือย่อมไม่ได้เฉพาะ ได้แก่
ย่อมไม่เห็น ทางแห่งพระมหาขีณาสพทั้งหลาย ผู้เห็นปานนี้ ไปแล้ว.