เมนู

การรสแห่งเนื้อ1" จึงตอบว่า ได้พระพระผู้เป็นเจ้า, ดิฉันจักส่งไป"
ในวันที่ 2 เมื่อไม่ได้เนื้อที่เป็นกัปปิยะ จึงทำกิจที่ควรทำด้วยเนื้อขาอ่อน
ของตน ด้วยความเลื่อมใสในพระศาสดา ก็กลับเป็นผู้มีสรีระตั้งอยู่ตาม
ปกตินั่นแล. ฝ่ายหางวิสาขาตรวจดูภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้เป็นไข้แล้ว
ก็ออกโดยประตูอื่น ยืนอยู่ที่อุปจารวิหารแล้ว พูดว่า "แม่ จงเอาเครื่อง
ประดับมา, ฉันจักแต่ง." ในขณะนั้นหญิงคนใช้นั้น รู้ว่าตนลืมแล้ว
ออกมา จึงตอบว่า " ดิฉันลืม แม่เจ้า." นางวิสาขา กล่าวว่า "ถ้า
กระนั้น จงไปเอามา, แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอานนทเถระของเรา ยกเก็บ
เอาไว้ในที่อื่น, เจ้าอย่าเอามา, ฉันบริจาคเครื่องประดับนั้น ถวายพระผู้
เป็นเจ้านั้นแล." นัยว่า นางวิสาขานั้นย่อมรู้ว่า "พระเถระย่อมเก็บสิ่ง
ของที่พวกมนุษย์ลืมไว้," เพราะฉะนั้น จึงพูดอย่างนั้น.

นางวิสาขาซื้อที่สร้างวิหารถวายสงฆ์


ฝ่ายพระเถระ พอเห็นนางคนใช้นั้น ก็ถามว่า "เจ้ามาเพื่อ
ประสงค์อะไร ?" เมื่อหญิงคนใช้นั่นตอบว่า " ดิฉันลืมเครื่องประดับ
ของแม่เจ้าของดิฉัน จึงได้ม้า." จึงกล่าวว่า "ฉันเก็บมันไว้ที่ข้างบันได
นั้น, เจ้าจงเอาไป." หญิงคนใช้นั้นตอบว่า "พระผู้เป็นเจ้า ห่อภัณฑะ
ที่ท่านเอามือถูกแล้ว แม่เจ้าของดิฉัน สั่งมิให้นำเอาไป" ดังนี้แล้ว ก็มี
มือเปล่ากลับไป ถูกนางวิสาขาถามว่า อะไร แม่ ? " จึงบอกเนื้อความ
นั้น. นางวิสาขา กล่าวว่า " แม่ ฉันจักไม่ประดับเครื่องที่พระผู้เป็น
เจ้าของฉันถูกต้องแล้ว ฉันบริจาคแล้ว. แต่พระผู้เป็นเจ้ารักษาไว้ เป็น
1. อรรถกถาแก้ว่า ปฏิจฺฉาทนีเยนาติ มํสรเสน (น้ำเนื้อต้ม).

การลำบาก. ฉันจำหน่ายเครื่องประดับนั้นแล้วจักน้อมนำสิ่งที่เป็นกัปปิยะ
ไป. เจ้าจงไปเอาเครื่องประดับนั้นมา." หญิงคนใช้นั้นไปนำเอามาแล้ว.
นางวิสาขา ไม่แต่งเครื่องประดับนั้น สั่งให้เรียกพวกช่างทองมาแล้วให้
ตีราคา, เมื่อพวกช่างทองเหล่านั้นตอบว่า มีราคาถึง 6 โกฏิ, แต่
สำหรับค่าบำเหน็จต้องถึงแสน," จึงวางเครื่องประดับไว้บนยานแล้วกล่าว
ว่า " ถ้ากระนั้น พวกท่านจงขายเครื่องประดับนั้น." ไม่มีใครจักอาจ
ให้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นรับไว้ได้. เพราะหญิงผู้สมควรประดับเครื่องประ-
ดับนั้น หาได้ยาก. แท้จริง หญิง 3 คนเท่านั้น ในปฐพีมณฑล ได้
เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา 1, นางมัลลิกา
ภรรยาของพันธุลมัลลเสนาบดี 1, ลูกสาวของเศรษฐีกรุงพาราณสี 1,
เพราะฉะนั้น นางวิสาขา จึงให้ค่าเครื่องประดับนั้นเสียเองทีเดียว แล้ว
ให้ขนทรัพย์ 9 โกฏิ 1 แสน ขึ้นใส่เกวียน นำไปสู่วิหาร ถวายบังคม
พระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า พระอานนทเถระผู้เป็นเจ้า
ของหม่อมฉัน เอามือถูกต้องเครื่องประดับของหม่อมฉันแล้ว, จำเดิม
แต่กาลที่ท่านถูกต้องแล้ว หม่อมฉันไม่อาจประดับได้, แต่หม่อมฉันให้
ขายเครื่องประดับนั้น ด้วยคิดว่า "จักจำหน่าย น้อมนำเอาสิ่งอันเป็น
กัปปิยะมา' ไม่เห็นผู้อื่นจะสามารถรับไว้ได้ จึงให้รับค่าเครื่องประดับ
นั้นเสียเองมาแล้ว. หม่อมฉันจะน้อมเข้าในปัจจัยไหน ในปัจจัย 4 พระ-
เจ้าข้า ?" พระศาสดา ตรัสว่า "เธอควรจะทำที่อยู่เพื่อสงฆ์ ใกล้
ประตูด้านปราจีนทิศเถิด วิสาขา." นางวิสาขา ทูลรับว่า "สมควร
พระเจ้าข้า" มีใจเบิกบาน จึงเอาทรัพย์ 9 โกฏิ ซื้อเฉพาะที่ดิน. นาง
เริ่มสร้างวิหารด้วยทรัพย์ 9 โกฏินอกนี้.

การสร้างวิหารของวิสาขา 9 เดือนแล้วเสร็จ


ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสาดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้
ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยสมบัติของเศรษฐีบุตรนามว่าภัททิยะ ผู้จุติจาก
เทวโลกแล้วเกิดในตระกูลเศรษฐีในภัททิยนคร ทรงทำภัตกิจในเรือนของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังประตูด้านทิศอุดร.
แม้ตามปกติ พระศาสดา ทรงรับภิกษาในเรือนของนางวิสาขาแล้ว ก็
เสด็จออกทางประตูด้านทักษิณ ประทับอยู่ในพระเชตวัน, ทรงรับภิกษา
ในเรือนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็เสด็จออกทางประตูด้านปราจีน
ประทับอยู่ในบุพพาราม. ชนทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนิน
มุ่งตรงประตูด้านทิศอุดรแล้ว ย่อมรู้ได้ว่า "จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริก."
ในวันนั้น แม้นางวิสาขา พอทราบว่า " พระศาสดา เสด็จดำเนิน
บ่ายพระพักตร์ไปทางประตูด้านทิศอุดร" จึงรีบไป ถวายบังคมแล้ว
กราบทูลว่า " ทรงประสงค์จะเสด็จดำเนินไปสู่ที่จาริกหรือ พระเจ้าข้า ?"
พระศาสดา. อย่างนั้น วิสาขา.
วิสาขา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันบริจาคทรัพย์จำนวนเท่านี้ ให้สร้าง
วิหารถวายแด่พระองค์, โปรดเสด็จกลับเถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. นี้ เป็นการไปยังไม่กลับ วิสาขา.
นางวิสาขานั้น คิดว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงเห็นใคร ๆ
ผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ เป็นแน่." จึงกราบทูลว่า " ถ้ากระนั้น ขอพระองค์
โปรดรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เข้าใจการงานที่หม่อมฉันทำแล้วหรือยังไม่
ได้ทำ กลับ แล้วเสด็จเถิด พระเจ้าข้า."