เมนู

แล้ว, ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักไม่สามารถบำเพ็ญ
คันถธุระได้ เพราะข้าพระองค์บวชในกาลเป็นคนแก่, แต่จักบำเพ็ญ
วิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์" ทูลให้พระองค์ตรัสบอกโสสานิกธุดงค์จนถึง
พระอรหัต, ครั้นล่วงปฐมยาม เมื่อชนนอนหลับหมดทุกคนแล้ว, ไปสู่
ป่าช้า เวลาจวนรุ่ง เมื่อชนทั้งหมด ยังไม่ทันลุกขึ้น (ตื่น) เลย กลับ
มายังวิหาร.

ระเบียบของผู้อยู่ในป่าช้า


ครั้งนั้น หญิงสัปเหร่อคนหนึ่งชื่อกาลี ผู้เฝ้าป่าช้า เห็นที่ยืนที่นั่ง
และที่จงกรมของพระเถระเข้า คิดว่า " ใครหนอมาในที่นี้ ? เราจัก
คอยจับตัว" เมื่อไม่อาจจับได้, วันหนึ่ง จึงตามประทีปไว้ที่กระท่อม
ใกล้ป่าช้า พาบุตรธิดาไปแอบอยู่ในที่ส่วนข้างหนึ่ง เห็นพระเถระเดิน
มาในมัชฌินยาม จึงไปไหว้แล้วพูดว่า "ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าพำนัก
อยู่ในที่ของพวกดิฉันนี้หรือ ?"
ถ. จ้ะ อุบาสิกา.
ญ. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาผู้อยู่ในป่าช้าทั้งหลาย เรียนระเบียบ
( ก่อน ) จึงจะควร.
พระเถระไม่กล่าวว่า "ก็ข้าพเจ้าจักประพฤติในระเบียบที่เจ้าบอก
แล้วอย่างไรเล่า ? " กลับกล่าวว่า "ทำอย่างไรเล่าจึงจะควร ? อุบาสิกา."
ญ. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาผู้อยู่ในป่าช้าทั้งหลาย ควรแจ้งความ
ที่คนอยู่ในป่าช้า แก่ผู้เฝ้าป่าช้า พระมหาเถระในวิหาร และนายบ้าน.
ถ. เพราะเหตุไร ?

ญ. เพราะพวกโจรทำกรรมแล้ว ถูกพวกเจ้าของ (ทรัพย์) สะกด
ตามรอยเท้าไป จึงทิ้งห่อภัณฑะไว้ในป่าช้าแล้วหลบหนีไป; เมื่อเป็น
เช่นนั้น พวกมนุษย์ก็ (รุมกัน ) ทำอันตรายแก่คนที่อยู่ในป่าช้า แต่เมื่อ
ได้แจ้งความแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นแล้ว, เจ้าหน้าที่เหล่านั้นย่อมช่วยกัน
ป้องกันอันตรายได้ ด้วยกล่าวรับรองว่า 'พวกข้าพเจ้าทราบความที่ท่าน
ผู้เจริญนี้อยู่ในที่นี้สิ้นกาลประมาณเท่านี้, ท่านผู้เจริญรูปนี้มิใช่โจร'
เพราะฉะนั้น ควรบอกแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้น.
ถ. กิจอื่นอะไรเล่า ? ที่ข้าพเจ้าควรทำ.
ญ. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาพระผู้เป็นเจ้า ผู้อยู่ในป่าช้า จำต้อง
เว้นวัตถุทั้งหลายมี ปลา เนื้อ แป้ง งา และน้ำอ้อยเป็นต้นเสีย, ไม่
ควรจำวัดกลางวัน ไม่ควรเป็นผู้เกียจคร้าน ควรปรารภความเพียร,
ควรเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่ใช่เจ้าเล่ห์ เป็นผู้มีอัธยาศัยงาม, เวลาเย็นเมื่อ
ชนหลับหมดแล้ว พึงมาจากวิหาร, เวลาจวนรุ่ง เมื่อหมู่ชนทุกคนยัง
ไม่ลุกขึ้น (ตื่นนอน) เลย พึงไปวิหาร, ท่านผู้เจริญ ถ้าพระผู้เป็นเจ้า
อยู่ในที่นี้ด้วยอาการอย่างนี้ ไซร้ จักอาจยังกิจแห่งบรรพชิตให้ถึงที่สุดได้,
ถ้าหมู่ชนนำศพมาทิ้ง, ดิฉันจะยกขึ้นสู่เรือนยอดอันดาดด้วยผ้ากัมพล1
ทำสักการะด้วยวัตถุทั้งหลาย มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นแล้ว
จักทำการปลงศพ, ผิว่า พระผู้เป็นเจ้าจักยังไม่อาจเพื่อยังกิจแห่งบรรพชิต
ให้ถึงที่สุดได้ไซร้, ดิฉันจะยกขึ้นสู่เชิงตะกอนแล้วติดไฟเผา เอาขอเกี่ยว
ลาก (ศพ) ออกมาวางไว้ภายนอก ทอนด้วยขวาน เฉือนให้เป็นชิ้น

1. ผ้าทำด้วยขนสัตว์.

น้อยชิ้นใหญ่แล้วใส่ในไฟ แสดงแก่ท่าน ( พระผู้เป็นเจ้า ) แล้วจึง
ค่อยเผา.
ทีนั้น พระเถระสั่งนางกาลีนั้นว่า "ดีละ นางผู้เจริญ ก็นางเห็น
รูปารมณ์อย่างหนึ่งแล้ว จงบอกแก่ข้าพเจ้านะ." นางกาลีรับว่า " จ้ะ."
พระเถระทำสมณธรรมอยู่ในป่าช้าตามอัธยาศัย (ของตน).

พระจุลกาลกลุ้มใจ


ส่วนพระจุลกาลเถระ ผุดลงผุดนั่ง รัญจวนถึงฆราวาส คิดถึงบุตร
และภรรยา คิดว่า "พี่ชายของเรานี้ ทำกรรมหนักยิ่ง."

พระมหากาลพิจารณาศพกุลธิดา


ลำดับนั้น กุลธิดาคนหนึ่ง ได้ทำกาละในเวลาเย็น ซึ่งยังมิทัน
เหี่ยวแห้ง ซูบซีด เพราะพยาธิกำเริบขึ้นในครู่เดียวนั้น. พวกญาติ
หามศพกุลธิดานั้นไปสู่ป่าช้าในเวลาเย็น พร้อมด้วยเครื่องเผาต่าง ๆ มีฟืน
และน้ำมันเป็นต้น ให้ค่าจ้างแก่หญิงเฝ้าป่าช้า ด้วยคำว่า " นางจงจัด
การเผาศพนี้" ดังนี้แล้ว มอบ (ศพ) ให้แล้วหลีกไป. นางเปลื้อง
ผ้าห่มของกุลธิดานั้นออกแล้ว เห็นสรีระซึ่งตายเพียงครู่เดียวนั้น แสน
ประณีต มีสีดังทองคำ จึงคิดว่า "อารมณ์นี้ควรจะแสดงแก่พระผู้เป็น
เจ้า" แล้วไปไหว้พระเถระกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อารมณ์ชื่อเห็นปานนี้
มีอยู่, ขอพระคุณเจ้าพึง (ไป) พิจารณาเถิด."
พระเถระรับว่า "จ้ะ" ดังนี้แล้วไป ให้เลิกผ้าห่มออกแล้ว
พิจารณาตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงปลายผมแล้ว พูดว่า "รูปนี้ประณีตยิ่งนัก มี