เมนู

ภ. อย่างนั้นหรือ ? พระองค์ผู้เจริญ.
ศ. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.

ช้างทำกาละไปเกิดเป็นเทพบุตร


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า "ปาริเลยยกะ นี้ความ
ไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มี
แก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่เถิด" พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว
ได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลัง ๆ. ก็พระยาช้างนั้น
เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า "ปาริเลยยกะ จำเดิม
แต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียน
อยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด" ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อ
พระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก. ทำกาละแล้ว เกิดใน
ท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง 30 โยชน์ ในภพ
ดาวดึงส์ เพราะความเสื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า
"ปาริเลยยกเทพบุตร." ฝ่ายพระศาสดาได้เสด็จถึงพระเชตวันแล้วโดย
ลำดับ.

ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทูลขอขมาพระศาสดา


ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี สดับว่า "ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จถึงกรุง
สาวัตถีแล้ว." ได้ไป ณ ที่นั้นเพื่อจะกราบทูลขอขมาพระศาสดา. พระเจ้า-
โกศลทรงสดับว่า "ได้ยินว่า พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว
เหล่านั้นมาอยู่" จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

หม่อมฉันจักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่แว่นแคว้นของหม่อมฉัน."
พระศาสดา ตรัสตอบว่า " ดูก่อนมหาราช ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล,
แต่ไม่ถือเอาคำของอาตมภาพ เพราะวิวาทกันและกันเท่านั้น, บัดนี้
เธอทั้งหลายมาเพื่อขอขมาอาตมภาพ, ดูก่อนมหาราช ขอภิกษุเหล่านั้น
จงมาเถิด."
ฝ่ายท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้ามาสู่วิหาร" ดังนี้แล้ว ถูกพระ-
ศาสดาทรงห้ามเสียเหมือนอย่างนั้น ได้นิ่งแล้ว. ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้น
ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้ประทาน
เสนาสนะ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทำให้เป็นที่สงัดแต่เธอทั้งหลาย. ภิกษุเหล่าอื่น
ไม่นั่ง ไม่ยืน ร่วมกับภิกษุพวกนั้น.
พวกชนผู้มาแล้ว ๆ ทูลถามพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกไหน ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าวเหล่านั้น ?" พระศาสดา
ทรงแสดงว่า "พวกนั่น." ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเหล่านั้น ถูกพวกชนผู้
มาแล้ว ๆ ชี้นิ้วว่า "ได้ยินว่า นั่นพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการ
แตกร้าวเหล่านั้น, ได้ยินว่า นั่นพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการ
แตกร้าวเหล่านั้น" ดังนี้ ไม่อาจยกศีรษะขึ้น เพราะความอาย ฟุบลง
แทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายทำกรรมหนัก
แล้ว. ชื่อว่าเธอทั้งหลายแม้บวชแล้วในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา,
เมื่อเราทำความสามัคคีอยู่ ไม่ทำ (ตาม) คำของเรา, ฝ่ายบัณฑิต
อันมีในปางก่อน สดับโอวาทของมารดาและบิดาผู้ต้องประหารชีวิต,

เมื่อบิดามารดานั้นแม้ถูกปลงชีวิคอยู่, ก็ไม่ล่วงโอวาทนั้น ภายหลังได้ครอง
ราชสมบัติใน 2 แว่นแคว้น" ดังนี้แล้ว ตรัสทีฆาวุกุมารชาดก1 อีกเหมือน
กันแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทีฆาวุกุมาร ถึงเมื่อพระชนนีและ
พระชนกถูกปลงชีวิตอยู่อย่างนั้น, ก็ไม่ก้าวล่วงโอวาทของพระชนนีและ
พระชนกเหล่านั้นแล้ว ภายหลังได้ธิดาของพระเจ้าพรหมทัตครองราช-
สมบัติในแว่นแคว้นกาสีและแว่นแคว้นโกศลทั้งสองแล้ว, ส่วนพวกเธอ
ทั้งหลายไม่ทำ (ตาม ) คำของเรา ทำกรรมหนัก" ดังนี้ แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า
5. ปเร จ น วิชานนฺติ มยเมตฺถ ยมามฺหเส
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ตโต สมฺมนฺติ เมธคา.
"ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้ตัวว่า 'พวกเราพากันย่อยยับ
อยู่ในท่ามกลางสงฆ์นี้' ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้น
ย่อมรู้ชัด, ความหมายมั่นกันและกัน ย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกนั้น ."


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเร เป็นต้น ความว่า เหล่าชนผู้ทำ
ความแตกร้าว ยกบัณฑิตทั้งหลายเสีย คือพวกอื่นจากบัณฑิตนั้น ชื่อว่า
ชนพวกอื่น, ชนพวกอื่นนั้น ทำความวุ่นวายอยู่ในทำมกลางสงฆ์นั้น
ย่อมไม่รู้สึกตัวว่า "เราทั้งหลาย ย่อมย่อยับ คือบ่นปี้ ฉิบหาย ได้แก่
ไปสู่ที่ใกล้ คือสำนักมฤตยูเป็นนิตย์."

1. ขุ. ปัญจก. 27/182. อรรถกถา. 4/495.