เมนู

ไว้ข้างนอกแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแต่รูปเดียวเท่านั้น. พระยาช้าง
ปาริเลยยกะ เห็นพระอานนทเถระนั้นแล้ว ถือท่อนไม้วิ่งไป. พระศาสดา
ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสว่า "หลีกไปเสียปาริเลยยกะ อย่าห้ามเลย,
ภิกษุนั่น เป็นพุทธอุปัฏฐาก." พระยาช้างปาริเลยยกะนั้น ทิ้งท่อนไม้
เสียในที่นั้นเองแล้ว ได้เอื้อเฟื้อถึงการรับบาตรจีวร, พระเถระมิได้ให้แล้ว.
พระยาช้างได้คิดว่า "ถ้าภิกษุรูปนี้จักมีวัตรอันได้เรียนแล้ว. ท่านคงจัก
ไม่วางบริขารของคนไว้บนแผ่นศิลาที่ประทับของพระศาสดา." พระเถระ
ได้วางบาตรจีวรไว้ที่พื้นแล้ว.

ไม่ได้สหายที่มีปัญญาเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐว่า


จริงอยู่ ชนผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่วางบริขารของตน
ไว้บนที่นั่งหรือบนที่นอนของครู. พระยาช้างนั้น เห็นอาการนั้น ได้
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว . พระเถระอภิวาทพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ส่วน
ข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า "อานนท์ เธอมาผู้เดียวเท่านั้น
หรือ ?" ทรงสดับความที่พระเถระเป็นผู้มาพร้อมกับภิกษุ 500 แล้ว
ตรัสว่า ก็ภิกษุเหล่านั้น อยู่ที่ไหน ?" เมื่อพระเถระทูลว่า "ข้าพระ-
องค์ไม่ทราบน้ำพระทัยของพระองค์ จึงพักเธอทั้งหลายไว้ข้างนอกมาแล้ว
(แต่รูปเดียว) " ตรัสว่า "เรียกเธอทั้งหลายมาเถิด" พระเถระได้
ทำตามรับสั่งแล้ว. ภิกษุเหล่านั้น มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่
ส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอทั้งหลายแล้ว. เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น
พระพุทธเจ้าอันสุขุม และเป็นกษัตริย์อันสุขุม พระองค์เสด็จยืนและ

ประทับนั่งพระองค์เดียวตลอดไตรมาส ทำกิจที่ทำได้ด้วยยาก, ผู้ทำวัตร
และปฏิวัตรก็ดี ผู้ถวายน้ำสรงพระพักตร์ก็ดี ชะรอยจะมิได้มีแล้ว." ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย กิจทั้งปวงของเรา อันพระยาช้างปาริเลยยกะทำแล้ว
ก็อันบุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนี้ อยู่ด้วยกันควรแล้ว, เมื่อไม่ได้สหาย
(เห็นปานนี้) ความเป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า" ดังนี้แล้ว
ได้ภาษิต 3 คาถาในนาควรรคเหล่านี้ว่า:-
ถ้าบุคคลได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญา
ทรงจำ มีคุณธรรมเป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้
สำเร็จ ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, (บุคคลผู้ได้
สหายเห็นปานนั้น ) ควรมีใจยินดี มีสติ ครอบงำ
อันตราย ซึ่งคอยเบียดเบียนรอบข้าง ทั้งปวงเสีย
แล้ว เที่ยวไปกับสหายนั้น, ถ้าบุคคลไม่ได้สหาย
ผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญาทรงจำ มีคุณธรรม
เป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้สำเร็จไว้ เป็นผู้เที่ยว
ไปด้วยกันไซร้, บุคคลนั้นควรเที่ยวไปคนเดียว
เหมือนพระราชาผู้ละแว่นแคว้นที่พระองค์ทรงชำนะ
แล้ว เสด็จอยู่แต่องค์เดียว, (และ) เหมือนพระ-
ยาช้างอันชื่อว่ามาตังคะเที่ยวอยู่ในป่าแต่เชือกเดียว,
การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า ความเป็นสหาย
ไม่มีในเพราะชนพาล, บุคคลผู้ไม่ได้สหายเห็น
ปานนั้น ควรมีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปผู้
เดียว และไม่ควรทำบาปทั้งหลาย, เหมือนพระยา

ช้างชื่อมาตังคะผู้มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปใน
ป่าแต่เชือกเดียว และหาได้ทำบาปไม่."

ในกาลจบคาถา ภิกษุเหล่านั้นทั้ง 500 รูป ตั้งอยู่ในพระอรหัต
แล้ว. พระอานนทเถระกราบทูลสาสน์ที่ตระกูลใหญ่ ๆ มีท่านเศรษฐี
อนาถบิณฑิกะเป็นต้นส่งมาแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อริยสาวก 5 โกฏิ มีท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นหัวหน้า หวังความ
เสด็จมาของพระองค์อยู่." พระศาสดาตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจงรับ
บาตรจีวร" ดังนี้แล้ว ให้พระเถระรับบาตรจีวรแล้ว เสด็จออกไป.
พระยาช้างได้ไปยืนขวางทางไว้. ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระยาช้างทำอะไร ?"
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ช้างหวังจะถวายภิกขาแก่เธอทั้งหลาย,
ก็แลช้างนี้ได้ทำอุปการะแก่เราตลอดราตรีนาน, การยังจิตของช้างนี้ให้
ขัดเคืองไม่ควร. ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายกลับเถิด." พระศาสดา
ทรงพาภิกษุทั้งหลายเสด็จกลับแล้ว.
ฝ่ายช้างเข้าไปสู่ราวป่าแล้ว รวบรวมผลไม้ต่าง ๆ มีผลขนุนและ
กล้วยเป็นต้นมาทำให้เป็นกองไว้, ในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุ 500 รูปไม่อาจฉันผลไม้ทั้งหลายให้หมดสิ้น. ในกาลเสร็จภัตกิจ
พระศาสดาทรงถือบาตรจีวรเสด็จออกไปแล้ว. พระยาช้างไปตามระหว่าง ๆ
แห่งภิกษุทั้งหลาย ยืนขวางพระพักตร์พระศาสดาไว้. ภิกษุทั้งหลายเห็น
ดังนั้น ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างนี้
ทำอะไร ?"
ศ. ภิกษุทั้งหลาย ช้างนี้จะส่งพวกเธอไปแล้ว ชวนให้เรากลับ.

ภ. อย่างนั้นหรือ ? พระองค์ผู้เจริญ.
ศ. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.

ช้างทำกาละไปเกิดเป็นเทพบุตร


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า "ปาริเลยยกะ นี้ความ
ไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มี
แก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่เถิด" พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว
ได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลัง ๆ. ก็พระยาช้างนั้น
เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า "ปาริเลยยกะ จำเดิม
แต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียน
อยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด" ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อ
พระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก. ทำกาละแล้ว เกิดใน
ท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง 30 โยชน์ ในภพ
ดาวดึงส์ เพราะความเสื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า
"ปาริเลยยกเทพบุตร." ฝ่ายพระศาสดาได้เสด็จถึงพระเชตวันแล้วโดย
ลำดับ.

ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทูลขอขมาพระศาสดา


ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี สดับว่า "ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จถึงกรุง
สาวัตถีแล้ว." ได้ไป ณ ที่นั้นเพื่อจะกราบทูลขอขมาพระศาสดา. พระเจ้า-
โกศลทรงสดับว่า "ได้ยินว่า พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้ก่อการแตกร้าว
เหล่านั้นมาอยู่" จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ