เมนู

ขาดสูญ" ดังนี้แล้ว ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้
บอบซ้ำแล้ว. หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล แล้วได้เกิดเป็น
แม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.

ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร


จำเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง. แม่แมวมากิน
ฟองไก่เหล่านั้นเสีย. ถึงครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน.
แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า "มันกินฟองของเราถึง 3 ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้
มันก็อยากกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมัน
กับลูกของมัน" ดังนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง.
ฝ่ายแม่แมว ได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแต่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้ว ๆ
แม่เสือเหลือง ก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง 3 ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย
แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า "พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสีย
ถึง 3 ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้เราจุติจากอัตภาพนี้
แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด" ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็น
นางยักษิณี. ฝ่ายแม่เสือเหลือง จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นกุลธิดา*
ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริม
ประตู [เมือง]. ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณี
จำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า "หญิงสหายของฉัน
อยู่ที่ไหน ?" พวกชาวบ้านได้บอกว่า "เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง."
นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า "หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชาย
หรือหญิงหนอ. ฉันจักดูเด็กนั้น" ดังนี้แล้วเข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับ

1. หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมิตระกูล.

ทารกกินแล้วก็ไป ถึงในหนที่2 ก็ได้กินเสียเหมือนกัน. ในหนที่ 3
นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้ว นอกว่า "นาย นางยักษิณี
คนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ 2 คนแล้วไป, เดี๋ยวนี้ ฉันจักไปสู่เรือน
แห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร" ดังนี้แล้ว ไปสู่เรือนแห่งตระกูลคลอด
[บุตรที่นั่น]. ในกาลนั้น นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ. ด้วยว่า นาง
ยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำ จากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าว
เวสสวัณ ตามวาระ ต่อล่วง 4 เดือนบ้าง 5 เดือนบ้างจึงพ้น (จาก
เวร) ได้. นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี.
ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น ก็รีบไปสู่เรือนนั้น
ถามว่า "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?" พวกชาวบ้านบอกว่า "ท่าน
จักพบเขาที่ไหน ? นางยักษิณีคนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้,
เพราะฉะนั้น เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล." นางยักษิณีนั้นคิดว่า "เขา
ไปในที่ไหน ๆ ก็ตามเถิด จักไม่พ้นเราได้" ดังนี้แล้ว อันกำลังเวรให้
อุตสาหะแล้ว วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง. ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันเป็นที่รับชื่อ
ให้ทารกนั้นอาบน้ำ ตั้งชื่อแล้ว กล่าวกะสามีว่า "นาย เดี๋ยวนี้ เรา
พากันไปสู่เรือนของเราเถิด" อุ้มบุตรไปกับสามี ตามทางอันตัดไปใน
ท่ามกลางวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้าง
วิหารแล้ว ขึ้นมารับเอาบุตร. เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่, ยืนให้บุตรดื่มนม
แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จำได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอันดังว่า "นาย มาเร็วๆ
เถิด นี้นางยักษิณีตนนั้น" ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้
วิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหารแล้ว.

เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร


ในสมัยนั้น พระศาสดา ทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท.
นางกุลธิดานั้น ให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า
แล้วกราบทูลว่า "บุตรคนนี้ ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว ขอ
พระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด." สุมนเทพ ผู้สิงอยู่ที่ซุ้ม
ประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน. พระศาสดารับสั่งเรียก
พระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า "อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณี
นั้นมา." พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว. นางกุลธิดา กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา." พระศาสดาตรัสว่า "นาง
ยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนาง
ยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า "เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้า
ไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้า ผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้า จักได้
เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้
สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบ
แก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
4. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน.
"ในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อม
ไม่ระงับด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความ
ไม่มีเวร, ธรรมนี้เป็นของเก่า."