เมนู

ปาณาติบาต, เว้นของที่เจ้าของยังไม่ให้ในโลก,
ไม่ดื่มน้ำเมา, ไม่พูดปด, และเป็นผู้เต็มใจ
ด้วยภรรยาของตน."

ลำดับนั้น เทพบุตรกล่าวกะเขาว่า "พราหมณ์ ทรัพย์ในเรือน
ของท่านมีมาก, ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายทาน, จงฟังธรรม,
จงถามปัญหา " ดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นแล.

พราหมณ์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้า


ฝ่ายพราหมณ์ ไปเรือนแล้วเรียกนางพราหมณีมา พูดว่า "นาง
ผู้เจริญ ฉันจักนิมนต์พระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหา, หล่อนจงทำ
สักการะ" ดังนี้แล้ว ไปสู่วิหาร ไม่ถวายบังคมพระศาสดาเลย ไม่ทำ
ปฏิสันถาร ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลว่า " พระโคดมผู้เจริญ
ของพระองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหารแห่งข้าพระองค์
เพื่อเสวยในวันนี้ ."
พระศาสดาทรงรับแล้ว. เขาได้ทราบว่า พระศาสดาทรงรับแล้ว
จึงมาโดยเร็ว ใช้คนให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารไว้ในเรือนของตน.
พระศาสดาอันหมู่ภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปสู่เรือนแห่งพราหมณ์นั้น
ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งไว้. พราหมณ์อังคาสแล้ว (เลี้ยงแล้ว)
โดยเคารพ.
มหาชนประชุมกัน. ได้ยินว่า เมื่อพระตถาคตอันพราหมณ์ผู้
มิจฉาทิฏฐินิมนต์แล้ว, หมู่ชน 2 พวกมาประชุมกัน คือพวกชนผู้เป็น

มิจฉาทิฏฐิประชุมกัน ด้วยตั้งใจว่า "วันนี้ พวกเราจักคอยดูพระ-
สมณโคดมที่ถูกพราหมณ์เบียดเบียนอยู่ ด้วยการถามปัญหา," พวกชนผู้
เป็นสัมมาทิฏฐิก็ประชุมกัน ด้วยตั้งใจว่า "วันนี้ พวกเราจักคอยดู
พุทธวิสัย พุทธลีลา."
ลำดับนั้น พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว
นั่งบนอาสนะต่ำ ได้ทูลถามปัญหาว่า " พระโคดมผู้เจริญ มีหรือ
ขึ้นชื่อว่า เหล่าชนที่ไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่
ได้ฟังธรรม ไม่ได้รักษาอุโบสถเลย ได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยมาตรว่า
ใจเลื่อมใสอย่างเดียวเท่านั้น ?"
ศ. พราหมณ์ เหตุใดท่านมาถามเรา, ความที่ตนทำใจให้เลื่อมใส
ในเราแล้วเกิดในสวรรค์ อันมัฏฐกุณฑลีผู้บุตรของท่านบอกแก่ท่านมิใช่
หรือ ?
พ. เมื่อไร ? พระโคดมผู้เจริญ.
ศ. วันนี้ท่านไปป่าช้าคร่ำครวญอยู่. เห็นมาณพคนหนึ่ง กอด
แขนคร่ำครวญอยู่ในที่ไม่ไกลแล้ว ถามว่า
"ท่านตกแต่งแล้วเหมือนมัฏฐกุณฑลี มีภาระ
คือระเบียบดอกไม้ มีตัวฟุ้งด้วยจันทน์เหลือง"

ดังนี้เป็นต้น มิใช่หรือ ? เมื่อจะทรงประกาศถ้อยคำที่ชนทั้งสองกล่าวกัน
แล้วได้ตรัสเรื่องมัฏฐกุณฑลีทั้งหมด. เพราะฉะนั้นแลเรื่องมัฏฐกุณฑลีนั้น
จึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธภาษิต. ก็แล ครั้นพระศาสดาตรัสเล่าเรื่องมัฏฐกุณฑลี
นั้นแล้ว จึงตรัสว่า "พราหมณ์ ใช่ว่าจะมีแต่ร้อยเดียวและสองร้อย,

โดยที่แท้ การที่จะนับเหล่าสัตว์ซึ่งทำใจให้เลื่อมใสในเราแล้วเกิดในสวรรค์
ย่อมไม่มี." มหาชนได้เป็นผู้เกิดความสงสัยแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบความที่มหาชนนั้นไม่สิ้นความ
สงสัย ได้ทรงอธิษฐานว่า " ขอมัฏฐกุณฑลีเทวบุตร จงมาพร้อมด้วย
วิมานทีเดียว." เธอมีอัตภาพอันประดับแล้วด้วยเครื่องอาภรณ์ทิพย์ สูง
ประมาณ 3 คาวุตมาแล้ว ลงมาจากวิมาน ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ได้ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะตรัสถามเธอว่า "ท่านทำกรรมสิ่งไร
จึงได้สมบัตินี้" ได้ตรัสพระคาถาว่า
"เทพดา ท่านมีกายงามยิ่งนัก ยืนทำทิศ
ทั้งสิ้นให้สว่าง เหมือนดาวประจำรุ่ง, เทพ
ผู้มีอานุภาพมาก เราขอถามท่าน (เมื่อ) ท่าน
เป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้."

เทพบุตรกราบทูลว่า "พระองค์ผู้เจริญ สมบัตินี้ข้าพระองค์ได้
แล้ว เพราะทำให้ให้เลื่อมใสในพระองค์."
ศ. สมบัตินี้ ท่านได้แล้ว เพราะทำใจให้เลื่อมใสในเราหรือ ?
ท. พระเจ้าข้า.
มหาชนแลดูเทพบุตรแล้ว ได้ประกาศความยินดีว่า "แน่ะพ่อ !
พุทธคุณน่าอัศจรรย์จริงหนอ บุตรของพราหมณ์ ชื่อว่า อทินนปุพพกะ
ไม่ได้ทำบุญอะไร ๆ อย่างอื่น ยังใจให้เลื่อมใสพระศาสดาแล้ว ได้
สมบัติเห็นปานนี้."

ใจเป็นใหญ่ในกรรมทุกอย่าง


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พวกชนเหล่านั้นว่า "ในการทำ
กรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นใหญ่, เพราะว่า
กรรมที่ทำด้วยใจอันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ละบุคคลผู้ไปสู่เทวโลกมนุษยโลก
ดุจเงาฉะนั้น" ครั้นตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นธรรมราชา ได้ตรัส
พระคาถานี้สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว
ด้วยพระราชลัญจกรว่า:-
2. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนส ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี.
" ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็น
ใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส
แล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไป
ตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว
ฉะนั้น.


แก้อรรถ


จิตที่เป็นไปใน 41 ภูมิ แม้ทั้งหมด เรียกว่าใจ ในพระคาถานั้น
ก็จริง โดยไม่แปลกกัน, ถึงอย่างนั้น เมื่อนิยม กะ กำหนดลง ในบทนี้
ย่อมได้แก่จิตเป็นกามาพจรกุศล 8 ดวง; ก็เมื่อกล่าวด้วยสามารถวัตถุ

1. ภูมิ 4 คือ กามาวจรภูมิ 1 รูปาวจรภูมิ 1 อรูปาวจรภูมิ 1 โลกุตรภูมิ 1.