เมนู

ธรรม, เดี๋ยวนี้แม้แต่มือสองข้างของเราก็ยกไม่ไหว. กิจที่ควรทำอย่างอื่น
ไม่มี" ดังนี้แล้ว ได้ทำใจเท่านั้นให้เลื่อม

เพราะใจเลื่อมใสทำกาละไปเกิดในเทวโลก
พระศาสดาทรงพระดำริว่า "พอละ ด้วยการที่มาณพนี้ทำใจให้
เลื่อมใส ประมาณเท่านั้น" ก็เสด็จหลีกไปแล้ว. เมื่อพระตถาคตพอ
กำลังเสด็จลับตาไป, มาณพนั้นมีใจเลื่อมใส ทำกาละแล้ว เป็นประดุจ
ดังว่า หลับแล้วกลับตื่นขึ้น ไปเกิดในวิมานทองสูงประมาณ 30 โยชน์
ในเทวโลก.

พราหมณ์คร่ำครวญถึงบุตร


ฝ่ายพราหมณ์ทำฌาปนกิจสรีระมาณพนั้นแล้ว ได้มีแต่การร้องให้
เป็นเบื้องหน้า, ไปที่ป่าช้า ทุกวัน ๆ ร้องให้พลางบ่นพลางว่า "เจ้าลูก
คนเดียวของพ่ออยู่ที่ไหน ? เจ้าลูกคนเดียวของพ่ออยู่ที่ไหน ?"

เทพบุตรจำแลงกายไปหาพราหมณ์


(แม้) เทพบุตรแลดูสมบัติของตนแล้ว คิดว่า "สมบัตินี้เราได้
ด้วยกรรมอะไร ?" เมื่อพิจารณาไปก็รู้ว่า "ได้ด้วยใจที่เลื่อมใสใน
พระศาสดา" ดังนี้แล้ว จึงคิดต่อไปว่า "พราหมณ์ผู้นี้ ในกาลเมื่อเรา
ไม่สบาย หาได้ให้หมอประกอบยาไม่ เดี๋ยวนี้สิ ไปป่าช้าร้องให้อยู่,
ควรที่เราจะทำแกให้ถึงประการอันแปลก" ดังนี้แล้วจึงจำแลงตัวเหมือน
มัฏฐกุณฑลีมาณพ มาแล้ว ได้กอดแขนยืนร้องไห้อยู่ ในที่ไม่ไกลป่าช้า.

เทพบุตรกับพราหมณ์โต้วาทะกัน


พราหมณ์เห็นเขาแล้ว จึงคิดว่า "เราร้องไห้เพราะโศกถึงบุตร
ก่อน, ก็มาณพนั่น ร้องไห้ต้องการอะไรเล่า ? เราจะถามเขาดู" ดังนี้
แล้ว เมื่อจะถาม ได้กล่าวคาถานี้ว่า
"ท่านตกแต่งแล้ว เหมือนมัฏฐกุณฑลี มีภาระ
คือระเบียบดอกไม้ มีตัวฟุ้งด้วยจันทน์เหลือง,
กอดแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ในกลางป่าช้า,
ท่านเป็นทุกข์อะไรหรือ ?"

มาณพกล่าวว่า
"เรือนรถ ทำด้วยทองคำ ผุดผ่อง เกิดขึ้นแล้ว
แก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าหาคู่ล้อของมันยังไม่ได้
ข้าพเจ้าจักยอมเสียชีวิต เพราะความทุกข์นั้น."

ทีนั้น พราหมณ์ได้พูดกะเขาว่า
"พ่อมาณพผู้เจริญ คู่ล้อของมันนั้น จะทำ
ด้วยทองคำก็ตาม ทำด้วยแก้วก็ตาม ทำด้วย
โลหะก็ตาม ทำด้วยเงินก็ตาม ท่านจงบอ
ข้าพเจ้าเถิด, ข้าพเจ้าจะรับประกันให้ท่านได้
คู่ล้อ (ของมัน)."

มาณพได้ฟังคำนั้น คิดว่า " พราหมณ์ผู้นี้ ไม่ทำยาให้แก่บุตร
แล้ว ครั้นมาเห็นเรารูปร่างคล้ายบุตร ร้องไห้อยู่ ยังพูดว่า 'เราจะ
ทำล้อรถซึ่งทำด้วยทองคำเป็นต้นให้, ช่างเถิด เราจักแกล้งแกเล่น"