เมนู

พระเถระ ตอบว่า " ผู้มีอายุ เธอจงรับไตรสรณะ (และ)
ศีล 5." เขารับไตรสรณะและศีล 5 แม้เหล่านั้นแล้ว จึงเรียนถามถึง
บุญกรรมที่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น. พระเถระก็แนะว่า " ถ้ากระนั้น เธอจง
รับศีล 10." เขากล่าวว่า " ดีละ ขอรับ " แล้วก็รับ (ศีล 10).
เพราะเหตุที่เขาทำบุญกรรมอย่างนั้นโดยลำดับ เขาจึงมีนามว่า อนุปุพพ-
เศรษฐีบุตร. เขาเรียนถามอีกว่า " บุญอันกระผมพึงทำ แม้ยิ่งขึ้นไป
กว่านี้ ยังมีอยู่หรือ ? ขอรับ" เมื่อพระเถระกล่าวว่า " ถ้ากระนั้น เธอ
จงบวช," จึงออกบวชแล้ว. ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมรูปหนึ่ง ได้เป็น
อาจารย์ของเธอ, ภิกษุผู้ทรงพระวินัยรูปหนึ่ง เป็นพระอุปัชฌาย์, ใน
เวลาที่ภิกษุนั้นได้อุปสมมทแล้วมาสู่สำนักของตน (อาจารย์) อาจารย์
กล่าวปัญหาในพระอภิธรรมว่า "ชื่อว่า ในพระพุทธศาสนา ภิกษุทำกิจ
นี้จึงควร, ทำกิจนี้ไม่ควร. "
ฝ่ายพระอุปัชฌาย์ ก็กล่าวปัญหาในพระวินัย ในเวลาที่ภิกษุนั้น
มาสู่สำนักของตนว่า " ชื่อว่า ในพระพุทธศาสนา ภิกษุทำสิ่งนี้ควร,
ทำสิ่งนี้ไม่ควร; สิ่งนี้เหมาะ สิ่งนี้ไม่เหมาะ."

อยากสึกจนซูบผอม


ท่านคิดว่า "โอ ! กรรมนี้หนัก; เราใคร่จะพ้นจากทุกข์ จึงบวช,
แต่ในพระพุทธศาสนานี้ สถานเป็นที่เหยียดมือของเรา ไม่ปรากฏ, เรา
ดำรงอยู่ในเรือนก็อาจพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ เราควรเป็นคฤหัสถ์
(ดีกว่า)." ตั้งแต่นั้น ท่านกระสัน (จะสึก) หมดยินดี (ในพรหม-
จรรย์) ไม่ทำการสาธยายในอาการ 32, ไม่เรียนอุเทศ ผอม ซูบซีด