เมนู

ให้ขวัญ1ข้าวเขา หล่อนช่างไม่มองดูความเปลืองทรัพย์ของเรา (บ้าง)."
นางพราหมณีถามว่า "เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านจะทำอย่างไรเล่า ?
พราหมณ์. "
พราหมณ์ตอบว่า "ทรัพย์ของเราจะไม่ขาดไปได้อย่างใด เราจะ
ทำอย่างนั้น."
พราหมณ์นั้นไปยังสำนักพวกหมอแล้ว ถามว่า "พวกท่านวางเอา
ขนานไหน ? แก่คนที่เป็นโรคชนิดโน้น."
ลำดับนั้น พวกหมอก็บอกยาเกล็ดที่เข้าเปลือกไม้เป็นต้นแก่เขา.
เขา (ไป) เอารากไม้เป็นต้นที่พวกหมอบบอกให้นั้นมาแล้ว ทำเอาให้
แก่บุตร. เมื่อพราหมณ์ทำอยู่เช่นนั้นนั่นแล, โรคได้ (กำเริบ) กล้าแล้ว
(จน) เข้าถึงความไม่มีใครที่จะเยียวยาได้. พราหมณ์รู้ว่าบุตรทุพพลภาพ
แล้ว จึงหาหมอมาคนหนึ่ง. หมอนั้น (มา) ตรวจดูแล้ว จึงพูด
(เลี่ยง) ว่า "ข้าพเจ้ามีกิจอยู่อย่างหนึ่ง ท่านจงหาหมออื่นมาให้รักษา
เถิด" ดังนี้แล้ว บอกเลิกกับพราหมณ์นั้นแล้วก็ลาไป.

ให้บุตรนอนที่ระเบียงเพราะกลัวเห็นสมบัติ


พราหมณ์รู้เวลาว่าบุตรจวนจะตายแล้วคิดว่า "เหล่าชนที่มาแล้ว ๆ
เพื่อประโยชน์จะเยี่ยมเยียนบุตรนี้ จักเห็นทรัพย์สมบัติภายในเรือน เรา
จะเอาเขาไว้ข้างนอก" ดังนี้แล้ว จึงนำเอาบุตรออกมาให้นอนที่ระเบียง
เรือนข้างนอก.

พระพุทธเจ้าเล็งเห็นอุปนิสัยของมัฏฐกุณฑลี


ในเวลากำลังปัจจุสมัย (คือเวลาจวนสว่าง) วันนั้น พระผู้มี-

1. ภตฺตเวตนํ ค่าจ้างและรางวัล.

พระภาคเจ้า เสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงเล็งดูโลกด้วย
พุทธจักษุ เพื่อทอดพระเนตรเหล่าสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์อันพระองค์พอ
แนะนำได้ ซึ่งมีกุศลอันหนาแน่นแล้ว มีความปรารถนา1ซึ่งได้ทำไว้
แล้วในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ได้ทรงแผ่ตาข่ายคือพระญาณไป
ในหมื่นจักรวาล. มัฏฐกุณฑลีมาณพปรากฏแล้ว ณ ภายในตาข่ายคือ
พระญาณนั้น โดยอาการอันนอนที่ระเบียงข้างนอกอย่างนั้น.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขาแล้ว ทรงทราบว่า พราหมณ์
ผู้บิดานำเขาออกจากภายในเรือนแล้ว ให้นอนในที่นั้น ทรงดำริว่า
"จะมีประโยชน์บ้างหรือไม่หนอ ด้วยปัจจัยที่เราไปในที่นั้น" กำลังทรง
รำพึง (อยู่) ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า "มาณพนี้ จักทำจิตให้เลื่อมใสใน
เรา ทำกาละแล้ว จักเกิดในวิมานทองสูง 30 โยชน์ในดาวดึงสเทวโลก
มีนางอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่ง. ฝ่ายพราหมณ์จักทำฌาปนกิจสรีระนั้น
ร้องไห้ไปในป่าช้า. เทพบุตรจักมองดูอัตภาพตนสูงประมาณ 3 คาวุต
(สามร้อยเส้น) ประดับด้วยเครื่องอลังการ หนัก 60 เล่มเกวียน มี
นางอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่ง คิดว่า " สิริสมบัตินี้ เราได้ด้วยกรรม
อะไรหนอ ?" ดังนี้แล้ว เล็งดูอยู่, ก็ทราบว่าได้ด้วยจิตเลื่อมใสในเรา
คิดว่า "บิดาไม่หาหมอมาให้ประกอบยาให้แก่เรา เพราะเกรงว่าทรัพย์
จะหมดไป เดี๋ยวนี้ไปป่าช้าร้องไห้อยู่, เราจักทำเขาให้ถึงประการอัน
แปลก" ดังนี้ ด้วยความขัดเคืองในบิดา จักจำแลงตัวเหมือนมัฏฐกุณฑลี
มาณพ มาทำนองร้องไห้อยู่ในที่ใกล้ป่าช้า. ทีนั้น พราหมณ์ จักถามเขา
ว่า "เจ้าเป็นใคร ?" เขาจักตอบ ฉันเป็นมัฏฐกุณฑลีมาณพ บุตรของ

1. กตาธิการานํ มีอธิการอันทำไว้แล้ว.

ท่าน."
พราหมณ์. ท่านไปเกิดในภพไหน ?
เทพบุตร. ในภพดาวดึงส์.
เมื่อพราหมณ์ถามว่า "เพราะทำกรรมอะไร ?" เขาจักบอกว่า เขา
เกิดเพราะจิตที่เลื่อมใสในเรา. พราหมณ์จักถามเราว่า "ขึ้นชื่อว่า ความ
ทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ (เท่านั้น) แล้วไปเกิดในสวรรค์ มีหรือ ?"
ทีนั้น เราจักตอบว่า "ไม่มีใครอาจจะกำหนดด้วยการนับได้ว่า มี
ประมาณเท่านั้นร้อย หรือเท่านั้นพัน หรือเท่านั้นแสน" ดังนี้แล้ว จัก
ภาษิตคาถาในธรรมบท. ในกาลจบคาถา ความตรัสรู้ธรรม จักมีแก่
สัตว์ประมาณแปดหมื่นสี่พัน. มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร จักเป็นพระโสดาบัน;
ถึงอทินนปุพพกพราหมณ์ก็เหมือนกัน. อาศัยกุลบุตรนี้ ความบูชาธรรม
เป็นอันมากจักมี ด้วยประการฉะนี้, ในวันรุ่งขึ้น ทรงทำความปฏิบัติ
(ชำระ) พระสรีระเสร็จแล้ว อันภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว เสด็จ
เข้าไปสู่กรุงสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เสด็จถึงประตูเรือนของพราหมณ์
โดยลำดับ.

มัฏฐกุณฑลีทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า


ในขณะนั้น มัฏฐกุณฑลีมาณพ กำลังนอนผินหน้าไปข้างในเรือน
พระศาสดาทรงทราบว่าไม่เห็นพระองค์, จึงได้เปล่งพระรัศมีในวาบหนึ่ง.
มาณพคิดว่า "นี่แสงสว่างอะไร?" จึงนอนพลิกกลับมา เห็นพระศาสดา
แล้ว คิดว่า "เราอาศัยบิดาเป็นอันธพาล จึงไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เห็นปานนี้แล้ว ทำความขวนขวายด้วยกาย หรือถวายทาน หรือฟัง