เมนู

ท้าวสักกะ. ฟักทองเหล่านั้น ฉันก็นำมาให้จำเพาะเธอ.
ท้าวสักกะ ทรงขับยานน้อยไปเรือนของนางแล้ว ประทานทรัพย์
ที่เทวดาพึงให้โดยพรรณอย่างฟักทอง ทำมิให้คนพวกอื่นลักเอาไปได้
ให้รู้จักพระองค์แล้ว ตรัสว่า " นี้ทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีวิตของเธอ. เธอจง
รักษาศีล 5 อย่าได้ขาด" แล้วเสด็จหลีกไป.

นางสุชาดาธิดาของอสูร


ฝ่ายธิดาของช่างหม้อนั้น จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของ
ผู้มีเวรต่อท้าวสักกะ เป็นธิดาของอสูรผู้หัวหน้าในภพอสูร และเพราะความ
ที่นางรักษาศีลดีแล้วใน 2 อัตภาพ นางจึงได้เป็นผู้มีรูปสวย มีพรรณ
ดุจทองคำ ประกอบด้วยรูปสิริอันไม่สาธารณ์ (ทั่วไป). จอมอสูรนามว่า
เวปจิตติ พูดแก่ผู้มาแล้ว ๆ ว่า " พวกท่านไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้า "
แล้วก็ไม่ให้ธิดานั้นแก่ใคร ๆ คิดว่า " ธิดาของเรา จักเลือกสามีที่สมควร
แก่ตนด้วยตนเอง" ดังนี้แล้ว จึงให้พลเมืองที่เป็นอสูรประชุมกัน แล้ว
ได้ให้พวงดอกไม้ในมือของธิดานั้น ด้วยการสั่งว่า " เจ้าจงรับผู้สมควร
แก่เจ้าเป็นสามี."

ท้าวสักกะปลอมเป็นอสูรชิงนางสุชาดา


ในขณะนั้น ท้าวสักกะ ทรงตรวจดูสถานที่นางเกิด ทราบประพฤติ
เหตุนั้นแล้ว ทรงดำริว่า " บัดนี้ สมควรที่เราจะไปนำเอานางมา "
ดังนี้แล้ว ได้ทรงนิรมิตเพศเป็นอสูรแก่ ไปยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท. แม้นาง
อสุรกัญญานั้น เมื่อตรวจดูข้างโน้นและข้างนี้ พอพบท้าวสักกะนั้น ก็เป็น

ผู้มีหทัยอันความรักซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจปุพเพสันนิวาสท่วมทับแล้ว ดุจ
ห้วงน้ำใหญ่ ก็ปลงใจว่า " นั่น สามีของเรา " จึงโยนพวงดอกไม้ไป
เบื้องบนท้าวสักกะนั้น. พวกอสูรนึกละอายว่า " พระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา
ไม่ได้ผู้ที่สมควรแก่พระธิดาตลอดกาลประมาณเท่านี้ บัดนี้ได้แล้ว, ผู้ที่
แก่กว่าปู่นี้แล สมควรแก่พระธิดาของท้าวเธอ" ดังนี้แล้ว จึงหลีกไป.
ฝ่ายท้าวสักกะ ทรงจับอสุรกัญญานั้นที่มือแล้ว ทรงประกาศว่า
" เรา คือท้าวสักกะ" แล้วทรงเหาะไปในอากาศ.
พวกอสูรรู้ว่า " พวกเราถูกสุกกะแก่ลวงเสียแล้ว" จึงพากันติดตาม
ท้าวสักกะนั้นไป. เทพบุตรผู้เป็นสารถีนามว่ามาตลี นำเวชยันตรถมาพัก
ไว้ในระหว่างทาง. ท้าวสักกะทรงอุ้มนางขึ้นในรถนั้นแล้ว บ่ายพระพักตร์
สู่เทพนคร เสด็จไปแล้ว. ครั้นในเวลาที่ท้าวสักกะนั้น เสด็จถึงสิมพลิวัน1
ลูกนกครุฑได้ยินเสียงรถ (ตกใจ) กลัวร้องแล้ว. ท้าวสักกะได้ทรง
สดับเสียงสูกนกครุฑเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามมาตลีว่า " นั่นนกอะไรร้อง ?"
มาตลี. ลูกนกครุฑ พระเจ้าข้า.
ท้าวสักกะ. เพราะเหตุไร มันจึงร้อง ?
มาตลี. เพราะได้ยินเสียงรถแล้ว กลัวตาย.
ท้าวสักกะ ตรัสว่า "อาศัยเราผู้เดียว นกประมาณเท่านี้ถูกความ
เร็วของรถให้ย่อยยับไปแล้ว มันอย่าฉิบหายเสียเลย, เธอจงกลับรถเสีย
เถิด."
มาตลีเทพบุตรนั้น ให้สัญญาแก่ม้าสินธพพันหนึ่งด้วยแส้ กลับ
รถแล้ว. พวกอสูรเห็นกิริยานั้น คิดว่า " ท้าวสักกะแก่ หนีไปตั้งแต่

1. ป่าไม้งิ้ว.

อสุรบุรี บัดนี้ กลับรถแล้ว, เธอจักได้ผู้ช่วยเหลือเป็นแน่" จึงกลับ
เข้าไปสู่อสูรบุรีตามทางที่มาแล้วนั่นแล ไม่ยกศีรษะขึ้นอีก.
ฝ่ายท้าวสักกะ ทรงนำนางสาวอสูรชื่อสุชาดาไปเทพนครแล้ว ทรง
สถาปนาไว้ในตำแหน่งหัวหน้านางอัปสร 2 โกฏิกึ่ง. นางทูลขอพรกะ
ท้าวสักกะว่า "ขอเดชะพระมหาราชเจ้า มารดาบิดาหรือพี่ชายพี่หญิงของ
หม่อมฉัน ในเทวโลกนี้ ไม่มี; พระองค์จะเสด็จไปในที่ใด ๆ พึง
(ทรงพระกรุณา) พาหม่อมฉันไปในที่นั้น ๆ (ด้วย) ท้าวเธอได้ประ-
ทานปฏิญญาแก่นางว่า "ได้."

พวกอสูรกลัวท้าวสักกะ


ก็จำเดิมแต่นั้นมา เมื่อดอกจิตตปาตลิบาน พวกอสูรประสงค์จะรบ
กะท้าวสักกะ ขึ้นมาเพื่อหมายจะต่อยุทธ ด้วยสำคัญว่า " เป็นเวลาที่
ดอกปาริฉัตตกทิพย์ของพวกเราบาน" ท้าวสักกะได้ประทานอารักขาแก่
พวกนาคในภายใต้สมุทร. ถัดนั้น พวกครุฑ, ถัดนั้น พวกกุมภัณฑ์,
ถัดนั้น พวกยักษ์, ถัดนั้น ท้าวจตุมหาราช, ส่วนชั้นบนกว่าทุก ๆ ชั้น
ประดิษฐานรูปจำลองพระอินทร์ ซึ่งมีวชิราวุธในพระหัตถ์ไว้ที่ทวารแห่ง
เทพนคร. พวกอสูรแม้ชำนะพวกนาคเป็นต้นมาแล้ว เห็นรูปจำลอง
พระอินทร์มาแต่ไกล ก็ย่อมหนีไป ด้วยเข้าใจว่า "ท้าวสักกะเสด็จออก
มาแล้ว."

อานิสงส์ความไม่ประมาท


พระศาสดาตรัสว่า "มหาลิ มฆมาณพปฏิบัติอัปปมาทปฏิปทา