เมนู

สามเณรถึงศีลวิบัติเพราะเสียงหญิง


สามเณรพาพระเถระด้วยปลายไม้เท้าไปอยู่ ถึงบ้านที่พระเถระ
เคยอาศัยเมืองชื่อสังกัฏฐะ อยู่แล้วในคงระหว่างทาง. เธอได้ยินเสียงขับ
ของหญิงคนหนึ่ง ผู้ออกจากบ้านนั้นแล้ว ขับพลางเที่ยวเก็บฟืนพลาง
อยู่ในป่า ถือนิมิตในเสียงแล้ว.
จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลาย
ตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุ
ทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่
เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย."
สามเณรถือนิมิตในเสียงนั้นแล้ว ปล่อยปลายไม้เท้าเสียแล้ว
กล่าวว่า "ท่านขอรับ ขอท่านรออยู่ก่อน, กิจของกระผมมี" ดังนี้แล้ว
ไปสู่สำนักของหญิงนั้น. นางเห็นเธอแล้วได้หยุดนิ่ง. เธอถึงศีลวิบัติกับ
นางแล้ว. พระเถระคิดว่า "เราได้ยินเสียงขับอันหนึ่งแล้วเดี๋ยวนี้เอง,
ก็แล เสียงนั้นคงเป็นเสียงหญิง ถึงสามเณรก็ชักช้าอยู่, เธอจักถึงศีลวิบัติ
เสียแน่แล้ว." ฝ่ายสามเณรนั้น ทำกิจของตนสำเร็จแล้วมาพูดว่า "เรา
ทั้งหลายไปกันเถิด ขอรับ.
ขณะนั้น พระเถระถามเธอว่า "สามเณร เธอกลายเป็นคนชั่วเสีย
แล้วหรือ ? เธอนิ่งเสีย แม้พระเถระถามซ้ำก็ไม่พูดอะไร ๆ.

พระเถระไม่ยอมให้สามเณรคบ


ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเธอว่า " ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่น
เธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี." เธอถึงซึ่งความสังเวชแล้ว

เปลื้องผ้ากาสายะเสียแล้ว นุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์พูดว่า "ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน
กระผมเป็นสามเณร แต่เดี๋ยวนี้กระผมกลับเป็นคฤหัสถ์แล้ว. อนึ่ง กระผม
เมื่อบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพราะกลัวแต่อันตรายในหนทาง
ขอท่านมาไปด้วยกันเถิด."
พระเถระพูดว่า " ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่ว
ทั้งนั้น; เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นสมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณเพียงแต่
ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์ จักทำความดีงามชื่ออะไรได้, ธุระด้วยการ
ที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี."
นายปาลิตะตอบว่า "ท่านผู้เจริญ หนทางมีอมนุษย์ชุมและท่าน
ก็เสียจักษุ จักอยู่ในที่นี้อย่างไรได้."
ลำดับนั้น พระเถระ กล่าวกะเขาว่า "ผู้มีอายุ เธออย่าได้คิด
อย่างนั้นเลย, เราจะนอนตายอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี จะนอนพลิกกลับไปกลับมา
ณ ที่นี้ก็ดี ขึ้นชื่อว่าการไปกับเธอย่อมไม่มี" (ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว) ได้
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
"เอาเถิด, เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทาง
ไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป,
เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี. เอาเถิด
เราเป็นผู้มีจักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร
จักตายเสีย จักไม่ไป, เพราะความเป็นสหายใน
ชนพาลย่อมไม่มี."

นายปาลิตะ ได้ยินคำนั้นแล้ว เกิดความสังเวช นึกว่า "เราทำ
กรรมหนัก เป็นไปโดยด่วน ไม่สมควรหนอ" ดังนี้แล้ว กอดแขน

คร่ำครวญ แล่นเข้าราวป่า ได้หลีกไป ด้วยประการนั้นแล.

อาสนะท้าวสักกะร้อน


ด้วยเดชแห่งศีลแม้ของพระเถระ (ในขณะนั้น) บัณฑุกัมพล-
สิลาอาสน์1 ของท้าวสักกเทวราช ยาว 60 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์
หนา 15 โยชน์ มีสีดุจดอกชัยพฤกษ์ มีปกติยุบลงในเวลาประทับนั่งและ
ฟูขึ้นในเวลาเสด็จลุกขึ้น แสดงอาการร้อนแล้ว.
ท้าวสักกเทวราช ทรงดำริว่า "ใครหนอแล ใคร่จะยังเราให้
เคลื่อนจากสถาน" ดังนี้แล้ว ทรงเล็งลงมา ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระเถระด้วยทิพยจักษุ.
เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า
"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่องทิพย-
จักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระองค์นี้ ติเตียน
คนบาป ชำระเครื่องเลี้ยงชีพให้บริสุทธิ์แล้ว, ท้าว
สหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่องทิพยจักษุ
(ทรงทราบว่า) พระปาลเถระ องค์นี้หนักในธรรม
ยินดีในศาสนา นั่งอยู่แล้ว."

ขณะนั้น ท้าวเธอได้ทรงพระดำริว่า "ถ้าเราจักไม่ไปสู่สำนักของ
พระผู้เป็นเจ้า ผู้ติเตียนคนบาป หนักในธรรม เห็นปานนั้น, ศีรษะของ
เราพึงแตก 7 เสียง; เราจักไปสู่สำนักของท่าน," (ครั้นทรงพระดำริ
ฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไป).

1. แผ่นศิลาที่ประทับ มีสีดุจผ้าขนสัตว์เหลือง.