เมนู

ก็ทรงทำการรวบรวมผู้คน ไปล้อมพระนครไว้แล้ว ส่งคำขาด (สาสน์)
ไปว่า " จะให้เรารบหรือจะให้ราชสมบัติ ?" ชาวเมืองทั้งหลายกล่าวว่า
" เราจักไม่ให้ทั้งสองอย่าง, แท้จริง พระราชเทวีของพวกเรามีพระครรภ์
แก่ ถูกนกหัสดีลิงค์พาไปแล้ว, เราทั้งหลาย ไม่ทราบว่า พระนางยังมี
พระชนม์อยู่ หรือว่าหาพระชนม์ไม่แล้ว ตลอดกาลที่เราไม่ทราบเรื่อง
ราวของพระนาง เราจักไม่ให้ทั้งการรบและราชสมบัติ." ได้ยินว่าความ
เป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยสืบเชื้อสาย ได้มีแล้วในกาลนั้น. ลำดับนั้น
พระกุมาร จึงตรัสว่า "ฉันเป็นบุตรของพระนาง" แล้วอ้างชื่อเสนา-
บดีเป็นต้น เมื่อพวกเหล่านั้นไม่เชื่อถือแม้อย่างนั้น จึงแสดงผ้ากัมพล
แดงและพระธำมรงค์. พวกชาวเมือง จำผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์
นั้นได้ หมดความกินแหนงใจ จึงเปิดประตู อภิเษกกุมารนั้นไว้ในราช-
สมบัติแล้ว.
นี้เป็นเรื่องเกิดแห่งพระเจ้าอุเทนก่อน.

สองผัวเมียเดินทางไปหาอาชีพ


ก็เมื่อทุพภิกขภัย เกิดแล้วในแคว้นอัลลกัปปะ ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า
โกตุหลิก ไม่อาจจะเป็นอยู่ได้ จึงพาภรรยาผู้มีบุตรอ่อน นามว่ากาลี
จัดแจงเสบียงออกไปแล้ว ด้วยมุ่งหมายว่า " จะไปหากินที่เมืองโกสัมพี."
อาจารย์บางท่านกล่าวว่า " เขาออกไปแล้ว ในเมื่อมหาชนกำลังตายกัน
ด้วยโรคอหิวาต์" บ้าง. สองสามีภรรยานั้น เดินไปอยู่ เมื่อเสบียงทาง
หมดสิ้นแล้ว ถูกความหิวครอบงำแล้ว ไม่สามารถจะนำเด็กไปได้.
ครั้งนั้น สามีจึงกล่าวกะภรรยาว่า " หล่อนเรามีชีวิตอยู่ ก็จักได้ลูกอีก,

ทิ้งเขาเสียแล้วไปเถิด." ธรรมดาว่า ดวงใจของมารดาอ่อนโยน เพราะ-
ฉะนั้น นางจึงพูดว่า "ดิฉันไม่อาจทิ้งลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ดอก."
สามี. เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรกัน ?
ภรรยา. เราเปลี่ยนกันนำเขาไป. มารดายกลูกขึ้นประหนึ่งพวง
ดอกไม้ ในวาระของตน กกไว้ที่อก อุ้มไปแล้ว ก็เอาให้แก่บิดา.
เวทนามีกำลังแม้กว่าความหิว บังเกิดแก่ชายผู้เป็นสามีนั้น ในที่ซึ่งเขา
รับเด็กผู้เป็นลูกนั้นแล้ววางลง เขาก็พูดกะภรรยานั้นแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า
"หล่อน เรามีชีวิตอยู่ จักได้ลูก ( อีก) ทิ้งมันเสียเถิด." แม้ภรรยา
ก็ห้ามเขาไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เฉยเสีย. เด็กถูกเปลี่ยนกันตามวาระ
เหนื่อยอ่อนเลยนอนหลับอยู่ในมือของบิดา. ชายผู้เป็นสามี รู้ว่าลูกชาย
นั้นหลับ จึงปล่อยให้มารดาเดินไปข้างหน้าก่อน แล้วเอาเด็กนอนไว้บน
ใบไม้ลาด ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วก็เดิน (ตามไป), มารดาเหลียวกลับ
แลดู ไม่เห็นลูก จึงถามว่า "นาย ลูกของเราไปไหน ?"
สามี. ฉันให้เขานอนอยู่ภายใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง.
ภรรยา. นาย อย่ายังฉันให้ฉิบหายเลย, ฉันเว้นลูกเสียแล้ว ไม่
อาจเป็นอยู่ได้, นายนำลูกฉันมาเถิด ประหารอกคร่ำครวญแล้ว. ครั้นนั้น
ชายผู้สามี จึงกลับไปเอาเด็กนั้นมาแล้ว. แม้ลูกก็ตายเสียแล้วในระหว่าง
ทาง. นายโกตุหลิก ทิ้งบุตรในฐานะมีประมาณเท่านี้ จึงถูกเขาทอดทิ้ง
7 วาระ ในระหว่างภพ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ด้วยประการฉะนี้. ชื่อว่า
บาปกรรมนี้ อันบุคคลไม่ควรดูหมิ่นว่า "น้อย," สองสามีภรรยานั้น
เดินทางไปถึงตระกูลของคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่งแล้ว.

นายโกตุหลิกตายไปเกิดเป็นสุนัข


ก็ในวันนั้น มีการทำขวัญแม่โคนมของนายโคบาล. ในเรือนของ
นายโคบาล พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งฉันเป็นนิตย์. นายโคบาลนั้น
นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันเสร็จแล้ว จึงได้ทำการมงคล. ข้าวปายาสเขา
จัดแจงไว้เป็นอันมาก. นายโคบาล เห็น 2 สามีภรรยานั้นมา จึงถามว่า
" ท่านมาจากไหน ?" ทราบเรื่องนั้นแล้ว เป็นกุลบุตรมีใจอ่อนโยน
จึงกระทำความสงเคราะห์ใน 2 สามีภรรยานั้น ให้ ๆ ข้าวปายาสกับเนย
ใสเป็นอันมาก.
ภรรยาจึงกล่าวกะสามีว่า "นาย เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ฉันก็ชื่อว่า
มีชีวิตอยู่, ท่านท้องพร่องมานาน, จงบริโภคตามความต้องการ" ดังนี้
แล้ว จึงวางข้าวปายาสไว้เบื้องหน้าเขาพร้อมกับสัปปิ ตนเองบริโภคสัปปิ
เหลวแต่น้อยหนึ่งเท่านั้น. ส่วนนายโกตุหลิก บริโภคมากไป ไม่อาจตัด
ความอยากในอาหารได้ เพราะตัวหิวมาตั้ง 7-8 วัน นายโคบาล ครั้น
ให้ ๆ ข้าวปายาสแก่ 2 ผัวเมียแล้ว ตนเองจึงเริ่มจะบริโภค. นายโกตุ-
หลิกนั่งแลดูเขาแล้ว เห็นก้อนข้าวปายาสที่นายโคบาลปั้นให้แก่นางสุนัข
ซึ่งนอนอยู่แล้วใต้ตั่ง จึงคิดว่า " นางสุนัขตัวนี้ มีบุญ จึงได้โภชนะ
เห็นปานนี้เนืองนิตย์." ตกกลางคืนนายโกตุหลิกนั้น ไม่สามารถจะยัง
ข้าวปายาสนั้นให้ย่อยได้ จึงทำกาละ ไปเกิดในท้องแห่งนางสุนัขนั้น.
ครั้งนั้น ภรรยาของเขาทำสรีรกิจ ( เผา) แล้ว ก็ทำการรับจ้างอยู่ใน
เรือนนั่นเอง ได้ข้าวสารทะนานหนึ่ง หุงแล้ว เอาใส่บาตรพระปัจเจก-
พุทธเจ้าแล้วกล่าวว่า " ท่านเจ้าข้า ขอกุศลนี้ จงถึงแก่ทาสของท่าน
เถิด" ดังนี้ แล้วจึงคิดว่า "ควรเราจะอยู่ในที่นี้แล, พระผู้เป็นเจ้าย่อม