เมนู

สำหรับให้ช้างใคร่ และสอนมนต์สำหรับให้ช้างใคร่ แก่พระดาบสแล้ว:
ก็เมื่อจะให้ ได้ชี้แจงสายพิณ 3 สาย ให้เรียนมนต์ 3 บท แล้วบอกว่า
" เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว, ช้างไม่อาจแม้เพื่อจะหันกลับ
แลดู ย่อมหนีไป; เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว ช้างจะกับ
เหลียวดูเบื้องหลังพลางหนีไป: เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว
ช้างนายฝูง ย่อมน้อมหลังเข้ามาหา," แล้วกล่าวว่า "สิ่งใด อันท่าน
ชอบใจ, ท่านพึงทำสิ่งนั้นเถิด." ไหว้พระดาบสแล้ว ก็หลีกไป.
พระดาบส ร่ายมนต์บทสำหรับไล่ช้าง ดีดสายพิณสำหรับไล่ช้าง
ยังช้างให้หนีไปอยู่แล้ว.

พระเจ้าอุเทนกับหัสดีลิงค์


ในสมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี ได้มีพระะราชาทรงพระนามว่าพระเจ้า
ปรันตปะ วันหนึ่ง พระเจ้าปรันตปะทรงนั่งผิงแดดอ่อนอยู่ที่กลางแจ้ง1
กับพระราชเทวี ผู้ทรงครรภ์. พระราชเทวี ทรงห่มผ้ากัมพลแดงอันมี
ราคาแสนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระภูษาทรงของพระราชา ทรงนั่งปราศรัยกับ
พระราชา ถอดพระธำมรงค์ อันมีราคาแสนหนึ่งจากพระองคุลีของ
พระราชา มาสวมใส่ที่นิ้วของพระองค์.
ในสมัยนั้น นกหัสดีลิงค์ บินมาโดยอากาศ เห็นพระราชเทวี
จึงชะลอปีกบินโผลง โดยหมายว่า " ชิ้นเนื้อ." พระราชาทรงตกพระทัย
ด้วยเสียงโผลงของนกนั้น จึงเสด็จลุกเข้าภายในพระราชิเวศน์. พระราช-
เทวีไม่อาจไปโดยเร็วได้ เพราะทรงครรภ์แก่ และเพราะเป็นผู้มีชาติแห่ง

1. อากาสตเล ที่พื้นแห่งอากาศ.

คนขลาด. ครั้งนั้น นกนั้นจึงโผลง ยังพระนางนั้นให้นั่งอยู่ที่กรงเล็บ
บินไปสู่อากาศแล้ว. เขาว่า พวกนกเหล่านั้น ทรงกำลังเท่าช้าง 5 เชือก
เพราะฉะนั้น จึงนำเหยื่อไปทางอากาศ จับ ณ ที่อันพอใจแล้ว ย่อมเคี้ยว
มังสะกิน. แม้พระนางนั้น อันนกนั้นนำไปอยู่ ทรงหวาดต่อมรณภัย
จึงทรงดำริว่า " ถ้าว่าเราจักร้อง, ธรรมดาเสียงคน เป็นที่หวาดเสียวของ
สัตว์จำพวกดิรัจฉาน มันฟังเสียงนั้นแล้ว ก็จักทิ้งเราเสีย, เมื่อเป็น
เช่นนั้น เราจักถึงความสิ้นชีพ พร้อมกับเด็กในครรภ์; แต่มันจับในที่
ใดแล้วเริ่มจะกินเรา, ในที่นั้น เราจักร้องขึ้น แล้วไล่ให้มันหนีไป.
พระนางยับยั้งไว้ได้ ก็เพราะความที่พระองค์เป็นบัณฑิต. ก็ในกาลนั้น
ที่หิมวันตประเทศ มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง เจริญขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ตั้งอยู่
โดยอาการดังมณฑป. นกนั้น นำเหยื่อมีเนื้อเป็นต้นไปแล้ว ย่อมเคี้ยว
กินที่ต้นไทรนั้น; เพราะฉะนั้น นกหัสดีลิงค์ตัวนั้น นำพระราชเทวีแม้นั้น
ไปที่ต้นไทรนั้นแล วางไว้ในระหว่างค่าคบไม้ แลดูทางอันตนบินมาแล้ว.
นัยว่าการแลดูทางบินมาแล้ว เป็นธรรมดาของนกเหล่านั้น. ในขณะนั้น
พระราชเทวี ทรงดำริว่า " บัดนี้ ควรไล่นกนี้ให้หนีไป" จึงทรงยก
พระหัตถ์ทั้ง 2 ขึ้น ทั้งปรบมือ ทั้งร้อง ให้นกนั้นหนีไปแล้ว. ครั้งนั้น
ในเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต ลมกัมมัชวาตปั่นป่วนแล้ว ในพระครรภ์
ของพระราชเทวีนั้น. มหาเมฆคำรามร้อง ตั้งขึ้นในทุกทิศ ชื่อว่าความ
หลับ มิได้มีแล้วตลอดคืนยังรุ่ง แก่พระราชเทวี ผู้ดำรงอยู่ในความสุข
ไม่ได้แม้สักคำพูดว่า " อย่ากลัวเลย พระแม่เจ้า" อันความทุกข์
ครอบงำแล้ว แต่เมื่อราตรีสว่าง ความปลอดโปร่งจากวลาหกก็ดี, ความขึ้น
แห่งอรุณก็ดี, ความตลอดแห่งสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ของพระนางก็ดี ได้มีแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้นแล. พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า " อุเทน" เพราะ
ถือเอาฤดูเมฆและฤดูอรุณขึ้นประสูติแล้ว.

อัลลกัปปดาบสเสียพิธี


ที่อยู่ แม้ของอัลลกัปปดาบส ก็อยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น. โดยปกติ
ในวันมีฝน พระดาบสนั้น ย่อมไม่ไปสู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่ผลาผล
เพราะกลัวหนาว, ไปยังโคนไม้นั้น เก็บกระดูกเนื้อที่นกกินแล้ว ทุบต้ม
ให้มีรสแล้ว ก็ดื่มกิน; เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระดาบสก็คิดว่า
" จักเก็บกระดูก" จึงไปที่ต้นไม้นั้น แสวงหากระดูกที่โคนไม้อยู่ ได้ยิน
เสียงเด็กข้างบน จึงแลดู เห็นพระราชเทวี จึงถามว่า " ท่านเป็นใคร ?"
พระราชเทวี. ข้าพเจ้าเป็นหญิงมนุษย์.
ดาบส. ท่านมาได้อย่างไร ? เมื่อพระนางกล่าวว่า ' นกหัสดีลิงค์
นำข้าพเจ้ามา' จึงกล่าวว่า ' ท่านจงลงมา.'
พระเทวี. ข้าพเจ้ากลัวแต่ความเจือด้วยชาติ พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. ท่านเป็นใคร ?
พระราชเทวี. ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์.
ดาบส. แม้ข้าพเจ้าก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน.
พระราชเทวี. ถ้ากระนั้น ท่านจงแถลงมายากษัตริย์.
พระดาบสนั้น แถลงแล้ว.
พระราชเทวี. ถ้ากระนั้น ท่านจงขึ้นมา พาบุตรน้อยของข้าพเจ้าลง.
พระดาบสนั้น ทำทางขึ้นโดยข้างหนึ่ง ขึ้นไปแล้ว รับเด็ก, เมื่อ
พระราชเทวีกล่าวห้ามว่า "อย่าเอามือถูกต้องข้าพเจ้า," ก็ไม่ถูกพระนาง