เมนู

โดยที่สุดถึงสรีระของตน ก็ตามไปไม่ได้, ต้องละสิ่งทั้งปวงไป, ประโยชน์
อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนของเรา, เราจักบวช" ดังนี้แล้ว ทรงมอบ
รัชสมบัติ ให้แก่พระโอรสและพระมเหสี ออกผนวชเป็นพระฤษี อยู่
ในหิมวันตประเทศ ได้ทรงปรึกษากันว่า " พวกเราไม่อาจเพื่อเป็นอยู่
จึงละราชสมบัติออกบวชก็หาไม่, เราเหล่านั้น เมื่ออยู่ในที่แห่งเดียวกัน
ก็จักเหมือนกับผู้ไม่บวชนั้นเอง, เพราะฉะนั้น เราจักแยกกันอยู่: ท่าน
จงอยู่ ที่ภูเขาลูกนั้น, เราจักอยู่ที่ภูเขาลูกนี้; แต่จักรวมกัน ในวันอุโบสถ
ทุกกึ่งเดือน." ครั้งนั้นพระดาบสทั้งสองนั้น เกิดมีความดำริขึ้นอย่างนี้ว่า
" แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคลุกคลีด้วยคณะเทียว จักมีแก่เราทั้งหลาย,
ท่านพึงจุดไฟให้โพลงขึ้นที่ภูเขาของท่าน, เราก็จักจุดไฟให้โพลงขึ้นที่
ภูเขาของเรา; ด้วยเครื่องสัญญานั้น เราทั้งหลาย ก็จักรู้ความที่เรายังมี
ชีวิตอยู่." พระดาบสทั้งสองนั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว.

เรียนมนต์และพิณ


ต่อมาในกาลอื่น เวฏฐทีปกดาบส ทำกาละ บังเกิดเป็นเทพเจ้า
ผู้มีศักดิ์ใหญ่. แต่นั้น ครั้นถึงกึ่งเดือน อัลลกัปปดาบส พอแลไม่เห็น
ไฟ ก็ทราบได้ว่า " สหายของเรา ทำกาละเสียแล้ว." แม้เวฏฐทีปก-
ดาบส ตรวจดูทิพพสิริของตนในขณะที่เกิด ใคร่ครวญถึงกรรม เห็น
กิริยาที่ตนกระทำ จำเดิมแต่ออกบวชแล้ว คิดว่า " บัดนี้ เราจักไป
เยี่ยมสหายของเรา" ในขณะนั้น จึงละอัตภาพนั้นเสีย เป็นเหมือน
คนหลงทาง ไปยังสำนักของอัลลกัปปดาบสนั้น ไหว้แล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ที่สมควรแห่งหนึ่ง.