เมนู

14. เรื่องภิกษุ 2 สหาย [14]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 2
สหาย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน"
เป็นต้น.

สองสหายออกบวช


ความพิสดารว่า กุลบุตร 2 คน ชาวเมืองสาวัตถี เป็นสหาย
กัน ไปยังวิหาร ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วละกาม
ทั้งหลาย ถวายชีวิตในพระศาสนาของพระศาสดา1 บวชแล้ว อยู่ใน
สำนักพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ตลอด 5 ปีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดา ทูลถามถึงธุระในพระศาสนา ได้ฟังวิปัสสนาธุระและคันถธุระ
โดยพิสดารแล้ว2, รูปหนึ่ง กราบทูลก่อนว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์บวชแล้วเมื่อภายแก่ ไม่สามารถจะบำเพ็ญคันถธุระได้, แต่จะ
บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" ดังนี้แล้ว ทูลให้พระศาสดาตรัสบอกวิปัสสนา
จนถึงพระอรหัต พากเพียรพยายามอยู่ บรรลุพระอรหัตพร้อมกับด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
ฝ่ายภิกษุรูปนอกนี้ คิดว่า "เราจะบำเพ็ญคันถธุระ" ดังนี้แล้ว
เรียนพระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎกโดยลำดับ กล่าวธรรม สวดสรภัญญะ

1. อุรํ ทตฺวา. 2. เป็นประโยคกิริยาปธานนัย.

ในสถานที่ตนไปแล้ว ๆ. เที่ยวบอกธรรมแก่ภิกษุ 500 รูป ได้เป็น
อาจารย์ของคณะใหญ่ 18 คณะ.
ภิกษุทั้งหลาย เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่
ที่อยู่ของพระเถระนอกนี้ (รูปบำเพ็ญวิปัสสนา) ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน
บรรลุพระอรหัตแล้ว นมัสการพระเถระเรียนว่า "กระผมทั้งหลายใคร่จะ
เฝ้าพระศาสดา."
พระเถระกล่าวว่า "ไปเถิด ผู้มีอายุ, ท่านทั้งหลาย จงถวาย
บังคมพระศาสดา นมัสการพระมหาเถระทั้ง 80 รูป ตามคำของเรา,
จงบอกกะพระเถระผู้สหายของเราบ้างว่า ' ท่านอาจารย์ของกระผมทั้งหลาย
นมัสการใต้เท้า" ดังนี้แล้วส่งไป. ภิกษุเหล่านั้นไปสู่วิหาร ถวายบังคม
พระศาสดาและนมัสการพระอสีติมหาเถระแล้ว ไปสู่สำนักพระคันถิกเถระ
เรียนว่า "ใต้เท้า ขอรับ ท่านอาจารย์ของพวกกระผม นมัสการถึง
ใต้เท้า." ก็เมื่อพระเถระนอกนี้ถามว่า " อาจารย์ของพวกท่านนั่นเป็น
ใคร ?" ภิกษุเหล่านั้นเรียนว่า "เป็นภิกษุผู้สหายของใต้เท้า ขอรับ."
เมื่อพระเถระ (วิปัสสกภิกษุ) ส่งข่าวเยี่ยมอย่างนี้เรื่อย ๆ อยู่,
ภิกษุนั้น (คันถิกะ) อดทนอยู่ได้สิ้นกาลเล็กน้อย ภายหลังไม่สามารถ
จะอดทนอยู่ได้, เมื่อพวกอาคันตุกภิกษุเรียนว่า "ท่านอาจารย์ของพวก
กระผมมนัสการใต้เท้า" ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "อาจารย์ของพวกท่าน
นั่นเป็นใคร," เมื่อภิกษุทั้งหลายเรียนว่า "เป็นภิกษุผู้สหายของใต้เท้า
ขอรับ" จึงกล่าวว่า " ก็อะไรเล่า ? ที่พวกท่านเรียนในสำนักของภิกษุ
นั้น บรรดานิกาย มีทีฆนิกายเป็นต้น นิกายใดนิกายหนึ่งหรือ ? หรือ
บรรดาปิฎก 3 ปิฎกใดปิฎกหนึ่งหรือ ? ที่พวกท่านได้แล้ว" ดังนี้แล้ว

คิดว่าสหายของเรา ย่อมไม่รู้จักคาถาแม้ประกอบด้วย 4 บท, ถือบังสุกุล
เข้าป่า แต่ในคราวบวชแล้ว ยังได้อันเตวาสิกมากมายหนอ, ในกาลที่เธอมา
เราควรถามปัญหาดู."

พระเถระทั้งสองพบกัน


ในกาลต่อมา พระเถระ (วิปัสสกะ) ได้มาเฝ้าพระศาสดา,
เก็บบาตรจีวรไว้ในสำนักพระเถระผู้สหายแล้ว ไปถวายบังคมพระศาสดา
และนมัสการพระอสีติมหาเถระแล้ว ก็กลับมาที่อยู่ของพระเถระผู้สหาย.
ลำดับนั้น พระคันถิกเถระนั้น ให้ภิกษุทั้งหลายทำวัตรแก่ท่านแล้ว
ถือเอาอาสนะมีขนาดเท่ากัน นั่งแล้วด้วยตั้งใจว่า "จักถามปัญหา."

พระศาสดาถามปัญหาพระเถระทั้งสอง


ขณะนั้น พระศาสดา ทรงทราบว่า "คันถิกภิกษุนี้ พึงเบียด-
เบียนบุตรของเราผู้มีรูปเห็นปานนี้แล้วเกิดในนรก," ด้วยทรงเอ็นดูในเธอ
ทำประหนึ่งเสด็จเที่ยวจาริกไปในวิหาร เสด็จถึงสถานที่เธอทั้งสองนั่งแล้ว
ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เธอจัดไว้. แท้จริง ภิกษุทั้งหลายเมื่อจะนั่ง
ในที่นั้น ๆ จัดอาสนะสำหรับพระพุทธเจ้าก่อนแล้วจึงนั่ง. เพราะเหตุนั้น
พระศาสดา จึงประทับนั่งเหนืออาสนะที่พระคันถิกภิกษุนั้นจัดไว้โดยปกติ
นั่นแล. ก็แลครั้นประทับนั่งแล้ว จึงตรัสถามปัญหาในปฐมฌานกะคันถิก-
ภิกษุ ครั้นเมื่อเธอทูลตอบไม่ได้, จึงตรัสถามปัญหาในรูปสมาบัติและ
อรูปสมาบัติทั้งแปด ตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้นไป พระคันถิกเถระก็มิอาจ
ทูลตอบได้แม้ข้อเดียว. พระวิปัสสกเถระนอกนี้ ทูลตอบปัญหานั้นได้
ทั้งหมด.