เมนู

แต่พอนางสุมนาเทวี กล่าวได้เพียงเท่านี้ ก็ได้ทำกาละแล้ว.

ท่านเศรษฐีผู้บิดาร้องให้ไปทูลพระศาสดา


ท่านเศรษฐีนั้น แม้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่สามารถจะกลั้นความ
โศกอันเกิดในธิดาได้ ให้ทำการปลง1ศพของธิดาเสร็จแล้ว ร้องไห้
ไปสู่สำนักพระศาสดา, เมื่อพระองค์ ตรัสว่า "คฤหบดี ทำไม ?
ท่านจึงมีทุกข์ เสียใจ มีหน้าอาบไปด้วยน้ำตา ร้องไห้ มาแล้ว " จึง
กราบทูลว่า " นางสุมนาเทวี ธิดาของข้าพระองค์ ทำกาละเสียแล้ว
พระเจ้าข้า."
ศ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร ? ท่านจึงโศก, ความตาย ย่อม
เป็นไปโดยส่วนเดียวแก่สรรพสัตว์ มิใช่หรือ ?
อ. ข้าพระองค์ทราบข้อนั้น พระเจ้าข้า แต่ธิดาของข้าพระองค์
ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะเห็นปานนี้, ในเวลาจวนตายนางไม่สามารถ
คุมสติไว้ได้เลย บ่นเพ้อตายไปแล้ว, ด้วยเหตุนั้นโทมนัสไม่น้อย จึงเกิด
แก่ข้าพระองค์.
ศ. มหาเศรษฐี ก็นางพูดอะไรเล่า ?
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เรียกนางว่า 'เป็นอะไร
หรือ ? สุมนา' ทีนั้น นางก็กล่าวกะข้าพระองค์ว่า 'อะไร ? น้องชาย'
แต่นั้น เมื่อข้าพระองค์กล่าวว่า ' เจ้าเพ้อไปหรือ ? แม่ ' ก็ตอบว่า
' ไม่เพ้อ น้องชาย ' เมื่อข้าพระองค์ถามว่า 'เจ้ากลัวหรือ ? แม่'
ก็ตอบว่า ' ไม่กลัว น้องชาย ' พอกล่าวได้เท่านี้ก็ทำกาละแล้ว.

1. สรีรกิจฺจํ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า "มหาเศรษฐี
ธิดาของท่าน จะได้เพ้อก็หามิได้."
อ. เมื่อเช่นนั้น เหตุไร ? นางจึงพูดอย่างนั้น.
ศ. เพราะท่านเป็นน้องนางจริง ๆ (นางจึงพูดอย่างนั้นกะท่าน),
คฤหบดี ก็ธิดาของท่านเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล, เพราะท่าน
เป็นเพียงโสดาบัน. ส่วนธิดาของท่านเป็นสกทาคามินี ; เพราะนางเป็น
ใหญ่โดยมรรคและผล นางจึงกล่าวอย่างนั้นกะท่าน.
อ. อย่างนั้นหรือ พระเจ้าข้า.
ศ. อย่างนั้น คฤหบดี.
อ. เวลานี้นางเกิดที่ไหน พระเจ้าข้า.
เมื่อพระศาสดา ตรัสว่า " ในภพดุสิต คฤหบดี" ท่านเศรษฐี
จึงกราบทูลว่า " ธิดาของข้าพระองค์ เที่ยวเพลิดเพลินอยู่ในระหว่าง
หมู่ญาติในโลกนี้ แม้ไปจากโลกนี้แล้ว ก็เกิดในที่ ๆ เพลิดเพลินเหมือน
กันหรือ ? พระเจ้าข้า."

คนทำบุญย่อมเพลิดเพลินในโลกทั้งสอง


ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า " อย่างนั้น คฤหบดี
ธรรมดาผู้ไม่ประมาท เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อม
เพลิดเพลินในโลกนี้และโลกหน้าแท้" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
13. อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ
ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต.