เมนู

และจีวรเถิด" ดังนี้แล้ว ให้เธอทั้งหลายถือบาตรและจีวรของตน ออก
ไปแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย เห็นตาทั้งสองของพระเถระนองอยู่ จึงเรียนถามว่า
" นั่นเป็นอะไร ขอรับ."
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ลมแทงตาของข้าพเจ้า.
ภ. ท่านขอรับ หมอปวารณาเราไว้ไม่ใช่หรือ ? เราควรบอก
แก่เขา.
ถ. ดีละ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.

หมอปรุงยาให้หยอด


เธอทั้งหลายจึงได้บอกแก่หมอ. เขาหุงน้ำมันส่งไปถวายแล้ว.
พระเถระเมื่อหยอดน้ำมันในจมูก นั่งหยอดเทียวแล้วเข้าไปภายในบ้าน.
หมอเห็นเรียนถามว่า "ท่านขอรับ ได้ยินว่า ลมแทงตาของพระผู้
เป็นเจ้าหรือ ?"
ถ. เออ อุบาสก.
ม. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันแล้วส่งไป ( ถวาย) ท่านหยอด
ทางจมูกแล้วหรือ ?
ถ. เออ อุบาสก.
ม. เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ขอรับ.
ถ. ยังแทงอยู่ทีเดียว อุบาสก.

พระมหาปาละนั่นหยอดยา


หมอคิดฉงนใจ "เราส่งน้ำมันเพื่อจะยังโรคให้ระงับได้ด้วยการ

หยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไปถวายแล้ว. เหตุไฉนหนอแล โรคจึงยังไม่
สงบ ?" จึงเรียนถามว่า "ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้นท่านนั่งหยอดหรือ
นอนหยอด."
พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้หมอซักถามอยู่ก็ไม่พูด.
หมอนึกว่า "เราจักไปวิหารดูที่อยู่เอง" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
"ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ไปเถิด ขอรับ" ผละพระเถระแล้ว ไปสู่วิหารดู
ที่อยู่ของพระเถระ เห็นแต่ที่จงกรมและที่นั่ง ไม่เห็นที่นอน จึงเรียนถามว่า
" ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด" พระเถระได้
นิ่งเสีย. หมออ้อนวอนซ้ำว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้น.
ธรรมดาสมณธรรม เมื่อร่างกายยังเป็นไปอยู่ ก็อาจทำได้, ขอท่านนอน
หยอดเถิด."

พระมหาปาละปรึกษากรัชกาย


พระเถระตอบว่า " ไปเถิด ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าจักปรึกษาดูก่อนแล้ว
จึงจักรู้. ก็ในที่นั้นไม่มีญาติสาโลหิตของพระเถระเลย ท่านจะพึงปรึกษา
กับใครเล่า. ถึงอย่างนั้นท่านปรึกษากับกรัชกายอยู่1 ดำริว่า "แน่ะปาลิตะ
ผู้มีอายุ ท่านจงว่ามาก่อน, ท่านจักเห็นแก่จักษุหรือจักเห็นแก่พระพุทธ-
ศาสนา. ก็ในสังสารวัฏอันมีที่สุด อันใครตามค้นไปก็รู้ไม่ได้ การคณนา
นับตัวท่านผู้บอดด้วยจักษุหามีไม่, และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ล่วงไป
หลายร้อยหลายพันพระองค์แล้ว ในพระพุทธเจ้าเหล่านั้น พระพุทธเจ้า
แม้แต่พระองค์เดียวก็กำหนดไม่ได้, ท่านได้ผูกใจไว้เดี๋ยวนี้เองว่า "จักไม่

1. แปลว่ากายอันเกิดแต่ธุลีมีในสรีระ.