เมนู

เท้านกพิราบ."

พระนันทะสำเร็จอรหัตผล


ครั้งนั้นแล พวกภิกษุผู้สหายของท่านพระนันทะ เรียกท่านพระ-
นันทะด้วยวาทะว่า คนรับจ้างบ้าง ด้วยวาทะว่า คนอันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงไถ่ไว้บ้าง ว่า "นัยว่า ท่านพระนันทะเป็นคนรับจ้าง, นัยว่า
ท่านพระนันทะเป็นผู้อันพระศาสดาทรงไถ่ไว้, พระนันทะประพฤติ
พรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางอัปสร 500, ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเป็นผู้ประกันของเธอ เพื่ออันได้เฉพาะนางอัปสร 500 ผู้มีเท้าดุจ
เท้านกพิราบ."
ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะขวยเขิน ละอาย รังเกียจด้วยวาทะว่า
คนรับจ้างบ้าง ด้วยวาทะว่าคนที่พระศาสดาทรงไถ่ไว้บ้าง ของเหล่า
ภิกษุสหาย เป็นผู้ ๆ เดียว หลีกออกไปแล้วไม่ประมาท มีความเพียร
มีตนส่งไปอยู่. ต่อกาลไม่นานเลย ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อัน
ยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลาย (ออก) จากเรือน บวชไม่มีเรือน
โดยชอบต้องการ ด้วยความรู้ยิ่งเอง สำเร็จแล้ว อยู่ในทิฏฐธรรม1 รู้ชัด
ว่า "ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจจำต้องทำ ๆ เสร็จแล้ว,
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี." เป็นอันว่าท่านพระนันทะ ได้เป็น
พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย.
ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่ง ยังพระเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง ในส่วน
แห่งราตรีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า

1. อีกนัยหนึ่ง:- ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม เป็นที่ต้องการแห่งกุลบุตร
ทั้งหลายผู้ (ออก) จากเรือนโดยชอบ บวชไม่มีเรือน ด้วยความรู้ยิ่งเอง.

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะ เป็นพระภาดาของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า โอรสพระน้านาง ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ1 ปัญญาวิมุตติ2
อันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งเอง
สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม. ญาณได้เกิดขึ้นแม้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
(เหมือนกัน) ว่า "นันทะ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งเอง
สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม." ท่านพระนันทะแม้นั้น โดยล่วงไปแห่ง
ราตรีนั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูล
คำนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้ประกัน
ของข้าพระองค์ เพื่ออันได้เฉพาะซึ่งนางอัปสร 500 ซึ่งมีเท้าดุจเท้า
นกพิราบ ด้วยการรับรองใด, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เปลื้อง
พระผู้มีพระภาคเจ้าจากการรับรองนั่น." พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "นันทะ
แม้เราก็กำหนดใจของเธอด้วยใจ ( ของเรา) ทราบแล้วว่า 'นันทะ
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งเอง สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม."
แม้เทวดาก็บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านนันทะ
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งเอง สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม." นันทะ
เมื่อใดแล จิตของเธอ พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะมีความไม่
ยึดมั่น, เมื่อนั้น เราก็พ้นจากการรับรองนั้น." ครั้งนั้นแล พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

1. พ้นจากกิเลสด้วยอำนาจใจ. 2. พ้นจากกิเลสด้วยอำนาจปัญญา,

"เปือกตมคือกามอันผู้ใดข้ามได้แล้ว, หนาม
คือกามอันผู้ใดย่ำยีได้แล้ว ผู้นั้น บรรลุความ
สิ้นไปแห่งโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะ
สุขและทุกข์."


พระนันทะถูกฟ้อง


ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ถามท่านพระนันทะว่า "นันทะ
ผู้มีอายุ เมื่อก่อน ท่านกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว' บัดนี้
จิตของท่านเป็นอย่างไร ?" พระนันทะตอบว่า "ผู้มีอายุ ความห่วงใย
ในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี." พวกภิกษุได้ฟังคำนั้นแล้ว กล่าวกัน
ว่า "ท่านนันทะ พูดไม่จริง ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล, ในวันที่
แล้ว ๆ มา กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว' ( แต่ ) บัดนี้
กล่าวว่า ความห่วงใยในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี" ดังนี้แล้ว
ไปกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ในวันที่แล้ว ๆ มา อัตภาพของนันทะได้เป็นเช่นกับ
เรือนที่เขามุงไม่ดี, (แต่) บัดนี้เป็นเช่นกับเรือนที่เขามุงดีแล้ว เพราะ
ว่านันทะนี้ จำเดิมแต่กาลที่ตนเห็นนางเทพอัปสรแล้ว พยายามเพื่อบรรลุ
ที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตอยู่ ได้บรรลุกิจนั้นแล้ว" ได้ทรงภาษิต
พระคาถาเหล่านี้ว่า .
9. ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฺฐี สมติวิชฺฌติ
เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ.
ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฏฺฐี น สมติวิชฺฌติ
เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ ราโค น สมติวิชฺฌติ.