เมนู

สองสหายทำกติกากัน


ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชก อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ กับ
ปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่. สารีบุตรและโมคคัลลานะทั้งสองนั้น ตกลง
กันว่า "เราจักบวชในสำนักท่านสญชัยนั้น," ต่างส่งมาณพ 500 ไป
ด้วยคำว่า "ท่านทั้งหลายจงเอาเสลี่ยงและรถไปเถิด ." พร้อมด้วย
มาณพ 500 บวชแล้วในสำนักของสญชัย. จำเดิมแต่เขาทั้งสองบวชแล้ว
สญชัยก็ได้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศอย่างเหลือเฟือ. ทั้งสองเรียนจบ
ลัทธิสมัยของสญชัยโดยสองสามวันเท่านั้น จึงถามว่า "ท่านอาจารย์
ลัทธิที่ท่านรู้ มีเพียงเท่านี้ หรือมีแม้ยิ่งกว่านี้ ?" เมื่อสญชัยตอบว่า
"มีเพียงเท่านี้แหละ, เธอทั้งสองรู้จบหมดแล้ว." เขาทั้งสองจึงคิดกันว่า
"เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักของท่านผู้นี้ก็ไม่
มีประโยชน์ เราทั้งสองออกมาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม, โมกขธรรมนั้น
เราไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้ในสำนักของท่านผู้นี้, อันชมพูทวีปใหญ่นัก,
เราเที่ยวไปยังคามนิคม ชนบท และราชธานี คงจักได้อาจารย์ผู้แสดง
โมกขธรรมสักคนเป็นแน่ ." ตั้งแต่นั้น ใครพูดในที่ใด ๆ ว่า "สมณ-
พราหมณ์ผู้บัณฑิต มีอยู่" เขาทั้งสองย่อมไปทำสากัจฉาในที่นั้น ๆ
ปัญหาที่เขาทั้งสองถามไป อาจารย์เหล่าอื่นหาอาจตอบได้ไม่, แต่เขา
ทั้งสองย่อมแก้ปัญหาของอาจารย์เหล่านั้นได้. เขาสอบสวนทั่วชมพูทวีป
อย่างนั้นแล้ว กลับมายังที่อยู่ของตน จึงทำกติกากันว่า "โกลิตะผู้สหาย
ในเราสองคน ผู้ใดได้บรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอก (แก่กัน)."
เมื่อเขาทั้งสองทำกติกากันอย่างนั้นอยู่ พระศาสดาเสด็จถึงกรุงราช-
คฤห์ โดยลำดับดังที่กล่าวแล้ว ทรงรับเวฬุวันแล้ว ประทับอยู่ใน

เวฬุวัน. ในกาลนั้น พระอัสสชิเถระ ในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ระหว่าง
พระอรหันต์ 61 องค์ ที่พระศาสดาทรงส่งไปเพื่อประกาศคุณพระ-
รัตนตรัย ด้วยพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมากเถิด," กลับมายังกรุงราชคฤห์แล้ว ใน
วันรุ่งขึ้น ท่านถือบาตรและจีวรไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาตแต่เช้าตรู่.
สมัยนั้น อุปติสสปริพาชก ทำภัตกิจแต่เช้าตรู่แล้ว ไปยังอาราม
ของปริพาชก พบพระเถระ จึงคิดว่า "อันนักบวชเห็นปานนี้เรายังไม่
เคยพบเลย, ภิกษุรูปนี้ (คง) จะเป็นผู้หนึ่งบรรดาผู้ที่เป็นพระอรหันต์
หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก. ไฉนหนอเราพึงเข้าไปหาภิกษุนี้แล้ว
ถามว่า "ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชอุทิศเฉพาะใคร ? ใครเป็นศาสดาของ
ท่าน ? หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร ?"
ทีนั้น ความปริวิตกนี้ได้มีแก่เขาว่า "กาลนี้มิใช่กาลควรถาม
ปัญหากะภิกษุนี้แล, ภิกษุนี้กำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต, ถ้า
กระไร เราเมื่อแสวงหาโมกขธรรมที่คนผู้ต้องการรู้แล้ว ควรติดตาม
ภิกษุรูปนี้ไปข้างหลัง ๆ." เขาเห็นพระเถระได้บิณฑบาตแล้ว ไปสู่
โอกาสแห่งใดแห่งหนึ่ง และทราบความที่พระเถระนั้นประสงค์จะนั่ง จึง
ได้จัดตั่งของปริพาชกสำหรับตนถวาย. แม้ในเวลาที่ท่านฉันเสร็จแล้ว
ก็ได้ถวายถวายน้ำในกุณโฑของตนแด่พระ.เถระ. ครั้นทำอาจาริยวัตรอย่างนั้น
แล้ว จึงทำปฏิสันถารอย่างจับใจกับพระเถระซึ่งฉันเสร็จแล้ว เรียนถาม
อย่างนี้ว่า "ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก, ผิวพรรณบริสุทธิ์
ผุดผ่อง, ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชอุทิศเฉพาะใคร ? ใครเป็นศาสดาของ
ท่าน ? หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ?"

พระอัสสชิแสดงหัวใจพระศาสนา


พระเถระคิดว่า "ธรรมดาปริพาชกเหล่านี้ ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อ
พระศาสนา, เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้," เมื่อ
จะแสดงความที่ตนบวชใหม่ จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่
บวชแล้วไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้, เราจักไม่สามารถแสดงธรรม
โดยพิสดารก่อน." ปริพาชกเรียนว่า "ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ, ขอพระผู้
เป็นเจ้ากล่าวตามสามารถเถิด จะน้อยหรือมากก็ตาม ข้อนั้นเป็นภาระ
ของข้าพเจ้า เพื่อแทงตลอดด้วย 100 นัย 1,000 นัย" ดังนี้แล้ว
เรียนว่า
" จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอพระผู้เป็นเจ้า จง
กล่าวเถิด, จงบอกแก่ข้าพเจ้าแต่ใจความเท่านั้น,
ข้าพเจ้าต้องการใจความ จะต้องทำพยัญชนะ
ให้มากไปทำไม."

เมื่อเขาเรียนอย่างนั้นแล้ว, พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า
"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระ-
ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเหตุ
แห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะ
มีปกติตรัสอย่างนี้."