เมนู

"เจ้าคนนี้ ให้ช้างของเราฉิบหายแล้ว." นายพรานข้างนอกนี้ แอบบัง
ต้นไม้ต้นหนึ่ง. ทีนั้น พระมหาบุรุษ เอางวงรวบเขาพร้อมกับต้นไม้
หมายใจว่า "จักจับฟาดลงที่แผ่นดิน. " ( ครั้น ) เห็นผ้ากาสาวะที่เขา
นำออกแสดง จึงยับยั้งไว้ ด้วยคิดเห็นว่า " ถ้าเราจักประทุษร้ายใน
บุรุษนี้ไซร้. ชื่อว่าความละอายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและ
พระขีณาสพหลายพันองค์ จักเป็นอันเราทำลายแล้ว." ซักถามว่า
"ญาติของเราประมาณเท่านี้ เจ้าให้ฉิบหายแล้วหรือ ?"
นายพรานช้างรับสารภาพว่า "จ้ะ นาย."
พระมหาบุรุษกล่าวว่า "เพราะอะไร เจ้าจึงได้ทำกรรมอันหยาบช้า
อย่างนี้ ? เจ้าห่มผ้าไม่สมควรแก่ตน สมควรแก่ท่านผู้ปราศจากราคะ
ทั้งหลาย เมื่อทำกรรมอันลามกเห็นปานนี้ ชื่อว่าทำกรรมอันหนัก."
ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะข่มขี่ให้ยิ่งขึ้น จึงกล่าวคาถาว่า
" ผู้ใด มีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก ปราศจาก
ทมะและสัจจะ จักนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ผู้นั้นย่อมไม่
ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ, ส่วนผู้ใด พึงเป็นผู้มีกิเลส
ดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย ประ-
กอบด้วยทมะและสัจจะ, ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่ม
ผ้ากาสาวะ.

ดังนี้แล้ว กล่าวว่า เจ้าทำกรรมอันไม่สมควร" แล้วก็ปล่อยเขาไป.

ของดีย่อมควรแก่คนดีหาควรกับคนชั่วไม่


พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา (แสดง) แล้ว
ทรงย่อชาดกว่า "นายพรานช้างในกาลนั้น ได้เป็นเทวทัต (ในบัดนี้)