เมนู

6. กาลีสูตร


ว่าด้วยกาลีอุบาสิกาถามปัญหาท่านพระมหากัจจายนะ


[26] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัจจายนะ อยู่ที่ภูเขาชื่อปวัตตะ
ใกล้เมืองกุรรฆระ ในอวันตีชนบท ครั้งนั้นแล อุบาสิกาชื่อกาลีชาวเมือง
กุรรฆระได้เข้าไปหาท่านพระมหากัจจายนะถึงที่อยู่ ได้อภิวาทท่านพระ-
มหากัจจายนะแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระ-
มหากัจจยนะว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้พระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้
ไว้ในกุมารีปัญหาว่า
การบรรลุประโยชน์ เป็นความสงบแห่งหทัย
เราชำนะเสนา คือ กิเลสอันมีรูปเป็นที่รัก เป็นที่
ชื่นใจแล้ว เป็นผู้เดียวเพ่งอยู่ ได้รู้โดยลำดับซึ่ง
ความสุข เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็นเพื่อน
ด้วยชน ความเป็นเพื่อนกับด้วยใคร ๆ ย่อมไม่ถึง
พร้อมแก่เรา ดังนี้.

ท่านเจ้าข้า เนื้อความแห่งพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้โดยย่อนี้จะพึงเห็นได้โดยพิสดารอย่างไรหนอ.
ท่านพระมหากัจจายนะตอบว่า ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์
พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย อันมีปฐวีกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิด
เฉพาะแล้ว ความที่ประโยชน์มีปฐวีกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่ง มีประมาณ
เท่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แล้วซึ่งความที่ประโยชน์มีปฐวีกสิณสมาบัติ

เป็นอย่างยิ่งนั้น ครั้นทรงรู้แล้ว ได้ทรงเห็นเบื้องต้น1 ได้ทรงเห็นโทษ2
ได้ทรงเห็นธรรมเครื่องสลัดออก3 ได้ทรงเห็นญาณทัสสนะว่าเป็นทาง
และมิใช่ทาง4 การบรรลุประโยชน์ เพราะเหตุทรงเห็นเบื้องต้น เพราะ
เหตุทรงเห็นโทษ เพราะเหตุทรงเห็นธรรมเครื่องสลัดออก เพราะเหตุ
ทรงเห็นญาณทัสสนะว่าเป็นทางและมิใช่ทาง แห่งความที่ประโยชน์มี
ปฐวีกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้วว่า
เป็นความสงบแห่งหทัย.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีอาโปกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีเตโชกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีวาโยกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีปีตกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีโลหิตกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีโอทาตกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.

1. สมุทัยสัจ. 2. ทุกขสัจ. 3. นิโรธสัจ. 4. มรรคสัจ.

ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีอากาสกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว.
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยังประโยชน์ทั้งหลาย
อันมีวิญญาณกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งให้เกิดเฉพาะแล้ว ความที่ประโยชน์
มีวิญญาณกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่ง มีประมาณเท่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรู้แล้วซึ่งความที่ประโยชน์มีวิญญาณกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่งนั้น ครั้น
ทรงรู้แล้ว ได้ทรงเห็นเบื้องต้น ได้ทรงเห็นโทษ ได้ทรงเห็นธรรม
เครื่องสลัดออก ได้ทรงเห็นญาณทัสสนะว่าเป็นทางและมิใช่ทาง การ
บรรลุประโยชน์เพราะเหตุทรงเห็นเบื้องต้น เพราะเหตุทรงเห็นโทษ เพราะ
เหตุทรงเห็นธรรมเครื่องสลัดออก เพราะเหตุทรงเห็นญาณทัสสนะว่าเป็น
ทางและมิใช่ทางแห่งความที่ประโยชน์มีวิญญาณกสิณสมาบัติเป็นอย่างยิ่ง
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้วว่า เป็นความสงบแห่งหทัย.
ดูก่อนน้องหญิง พระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วใน
กุมารีปัญหาว่า
การบรรลุประโยชน์ เป็นความสงบแห่งหทัย เรา
ชำนะเสนา คือ กิเลสอันมีรูปเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ
แล้ว เป็นผู้เดียวเพ่งอยู่ ได้รู้โดยลำดับซึ่งความสุข
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็นเพื่อนด้วยชน
ความเป็นเพื่อนด้วยใคร ๆ ย่อมไม่มีแก่เรา ดังนี้.

เนื้อความแห่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้โดยย่อนี้ พึงเห็นโดยพิสดาร
อย่างนี้แล.
จบกาลีสูตรที่ 6

อรรถกถากาลีสูตรที่ 6


กาลีสูตรที่ 6

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กุมารีปญฺเหสุ ได้แก่ในคำถามของธิดามารผู้ยังสาว. ตรัส
พระอรหัตอย่างเดียว ด้วยบททั้งสองว่า อตฺถสฺส ปตฺติ หทยสฺส สนฺติ
การบรรลุประโยชน์เป็นความสงบแห่งพระหฤทัย. บทว่า เสนํ ได้แก่
กองทัพกิเลสมีราคะเป็นต้น. บทว่า ปิยสาตรูปํ ได้ชื่ออย่างนี้ ก็เพราะ
กิเลสเกิดในวัตถุทั้งหลาย ที่น่ารัก และน่าชื่นใจ. บทว่า เอโกหํ ฌายี
สุขมานุโพธึ
ความว่า เราผู้เดียวเท่านั้น (รู้จักกองทัพกิเลสอย่างนี้แล้ว )
จึงเข้าฌานตรัสรู้ได้โดยง่าย. บทว่า สกฺขึ ความว่า ได้แก่ ประจักษ์ธรรมที่
ถึงความเป็นประจักษ์พยาน. บทว่า สกฺขี น สมฺปชฺชติ เกนจีเม ความว่า
เราไม่มีมิตรธรรมกับใคร ๆ.
บทว่า ปฐวีกสิณสมาปตฺติปรมา โข ภคินิ เอเก สมณพฺราหฺมณา
อตฺถาภินิพฺพตฺเตสุํ
ความว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ยึดถือว่า ปฐวี-
กสิณสมาบัติ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสูงสุด จึงทำให้เกิด. บทว่า ยาวตา โข
ภคินิ ปฐวีกสิณสมาปตฺติปรมตา
ความว่า ความที่ประโยชน์มีปฐวีกสิณ
สมาบัติมียอดสูงสุด ประมาณเพียงใด. บทว่า ตทภิญฺญาสิ ภควา ได้แก่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงรู้ชัดซึ่งปฐวีกสิณสมาบัตินั้น ด้วยความรู้ยิ่ง
ซึ่งประโยชน์นั้น ด้วยพระปัญญา. บทว่า อาทิมทฺทสฺส ได้แก่ ได้ทรงเห็น
สมุทัยสัจ. บทว่า อาทีนวมทฺทสฺส ได้แก่ ได้ทรงเห็นทุกขสัจ. บทว่า
นิสฺสรณมทฺทสฺส ได้แก่ ได้ทรงเห็นนิโรธสัจ. บทว่า มคฺคามคฺคญาณ-
ทสฺสนมทฺทสฺส
ได้แก่ ทรงเห็นมรรคสัจ. บทว่า อตฺถสฺส ปตฺติ ได้แก่