เมนู

อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็วิราคะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็น
อานิสงส์.
พ. ดูก่อนอานนท์ วิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติ-
ญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
ดูก่อนอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล มีความ
ไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์ ความไม่เดือดร้อน มีความปราโมทย์เป็นผล
มีความปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ความปราโมทย์ มีปีติเป็นผล มีปีติเป็น
อานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุข
เป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิ
มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูต-
ญาณทัสสนะมีนิพพิทาเป็นผล มีนิพพิทาเป็นอานิสงส์ นิพพิทามีวิราคะ
เป็นผล มีวิราคะเป็นอานิสงส์ วิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติ-
ญานทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้แล ดูก่อนอานนท์ ศีลที่
เป็นกุศลย่อมยังความเป็นพระอรหันต์ให้บริบูรณ์โดยลำดับ ด้วยประการ
ดังนี้แล.
จบกิมัตถิยสูตรที่ 1

2. เจตนาสูตร


ว่าด้วยอานิสงส์ของผู้มีศีล


[209] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีลไม่ต้อง
ทำด้วยเจตนาว่า ขอความไม่เดือดร้อนจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ข้อที่ความไม่เดือดร้อนเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีลนี้

เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ต้อง
ทำด้วยเจตนาว่า ขอความปราโมทย์จงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ข้อที่ความปราโมทย์เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อนนี้
เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความปราโมทย์ ไม่ต้องทำ
ด้วยเจตนาว่า ขอปีติจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปีติ
เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความปราโมทย์นี้ เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอกายของเราจง
สงบเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กายของบุคคลผู้มีใจประกอบด้วยปีติ
สงบนี้ เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีการสงบแล้ว ไม่ต้อง
ทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงเสวยสุขเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคล
ผู้มีการสงบแล้วเสวยสุขนี้ เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีสุข
ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอจิตของเราจงตั้งมั่นเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่จิตของบุคคลผู้มีสุขตั้งมั่นนี้ เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
ผู้มีจิตตั้งมั่น ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงรู้จงเห็นตามเป็นจริงเถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วรู้เห็นตามเป็นจริงนี้ เป็น
ธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้รู้เห็นตามเป็นจริง ไม่ต้องทำด้วย
เจตนาว่า ขอเราจงเบื่อหน่ายเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้รู้
เห็นตามเป็นจริงเบื่อหน่ายนี้ เป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
ผู้เบื่อหน่าย ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอเราจงคลายกำหนัดเถิด ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดนี้ เป็นธรรมดา ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตคลายกำหนัดแล้ว ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า
ขอเราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่

บุคคลคลายกำหนัดแล้วทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะนี้ เป็นธรรมดา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณ-
ทัสสนะเป็นอานิสงส์ นิพพิทามีวิราคะเป็นผล มีวิราคะเป็นอานิสงส์ ยถา-
ภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาเป็นผล มีนิพพิทาเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูต-
ญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล
มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัส-
สัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติ
เป็นอานิสงส์ ความไม่เดือดร้อน มีความปราโมทย์เป็นผล มีความ
ปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ศีลที่เป็นกุศลมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล มีความ
ไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรม
ทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อการถึงฝั่ง (คือนิพพาน) จากสถานอันมิใช่ฝั่ง
(คือสังสารวัฏ) ด้วยประการดังนี้แล.
จบเจตนาสูตรที่ 2

3. ปฐมอุปนิสาสูตร


ว่าด้วยอวิปฏิสารมีเหตุอันบุคคลผู้ทุศีลมีศีลวิบัติขจัดเสียแล้ว


[210] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิปฏิสารชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้ทุศีล
มีศีลวิบัติขจัดเสียแล้ว เมื่ออวิปฏิสารไม่มี ความปราโมทย์ชื่อว่ามีเหตุอัน
บุคคลผู้มีอวิปฏิสารวิบัติขจัดเสียแล้ว เมื่อความปราโมทย์ไม่มี ปีติชื่อว่า
มีเหตุอันบุคคลผู้มีความปราโมทย์วิบัติจัดเสียแล้ว เมื่อปีติไม่มี ปัสสัทธิ
ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีปีติวิบัติขจัดเสียแล้ว เมื่อปัสสัทธิไม่มี สุขชื่อว่ามี