เมนู

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ เพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางกาย 3 อย่าง อันมี
ความตั้งใจเป็นกุศล เพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางวาจา 4 อย่าง
อันมีความตั้งใจเป็นกุศล หรือเพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางใจ
3 อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล.
จบทุติยกรรมสูตรที่ 7

8. ตติยกรรมสูตร


ว่าด้วยการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจทำ


[196] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความ
สิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแลอันสัตว์ผู้ทำ
พึงได้เสวยในปัจจุบัน ในอัตภาพถัดไป หรือในอัตภาพต่อ ๆ ไป ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์
ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนั้นนั่นแล เป็นผู้ปราศจากอภิชฌา
ปราศจากพยาบาท ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า มีใจประกอบ
ด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกัน
โดยนัยนี้ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่ว
สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็น
มหัคคตะ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ อริยสาวก
นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย เป็นจิต
ไม่ได้อบรมแล้ว แต่บัดนี้ จิตของเรานี้ เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็น

จิตอบรมดีแล้ว ก็กรรมที่ทำแล้วพอประมาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นย่อม
ไม่เหลืออยู่ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือหากในเวลายังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญ
เมตตาเจโตวิมุตติไซร้ พึงทำบาปกรรมบ้างหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมแลหรือ.
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์
จักถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมได้ที่ไหน.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมตตาเจโตวิมุตตินี้ อันสตรีหรือบุรุษ
พึงเจริญแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มิได้มีส่วนอันสตรีหรือบุรุษจะพึง
พาเอาไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอันจะต้องตายเป็นสภาพนี้ เป็น
ผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า บาปกรรมไร ๆ ของเรา อัน
กรัชกายนี้ทำแล้วในกาลก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด เป็นกรรมอันเรา
พึงเสวยในอัตภาพนี้ จักไม่ติดตามไป ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตา
เจโตวิมุตติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่ง ในธรรม
วินัยนี้อมรมแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็น
พระอนาคามี.
พระอริยสาวกมีจิตประกอบด้วยกรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไป
ตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกันโดยนัยนี้ ทั้ง
ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยจิตอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ

หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ อริยสาวกนั้นย่อมรู้
อย่างนี้ว่า ในกาลก่อนแล จิตของเรานี้เป็นจิตเล็กน้อย เป็นจิตไม่ได้
อบรมแล้ว แต่บัดนี้ จิตของเรานี้ เป็นจิตหาประมาณมิได้ เป็นจิตอบรม
ดีแล้ว ก็กรรมที่ทำแล้วพอประมาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ย่อมไม่เหลืออยู่
ไม่ตั้งอยู่ในจิตของเรานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน คือ หากว่าในเวลายังเป็นเด็ก เด็กนี้พึงเจริญ
อุเบกาขาเจโตวิมุตติไซร้ พึงกระทำบาปกรรมบ้างหรือ.
ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็ทุกข์จะพึงถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมแลหรือ.
ภิ. มิใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยว่าทุกข์
จักถูกต้องบุคคลผู้ไม่ทำบาปกรรมได้แต่ที่ไหน.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุเบกขาเจโตวิมุตตินี้ อันสตรีหรือบุรุษ
พึงเจริญแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การนี้มิได้มีส่วนอันสตรีหรือบุรุษ
จะพึงพาเอาไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้มีอันจะต้องตายเป็นสภาพนี้
เป็นผู้มีจิตเป็นเหตุ สัตว์นั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า บาปกรรมไร ๆ ของเรา
อันกรัชกายนี้ทำแล้วในกาลก่อน บาปกรรมนั้นทั้งหมด อันเราจะพึงเสวย
ในอัตภาพ จักไม่ติดตามไปดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุเบกขาเจโต-
วิมุตติ อันภิกษุผู้มีปัญญา ผู้ยังไม่แทงตลอดวิมุตติอันยิ่ง ในธรรมวินัยนี้
เจริญแล้วด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นพระอนาคามี.
จบตติยกรรมสูตรที่ 8

อรรถกถาสูตรที่1 9



สูตรที่ 9

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุกฺขสฺส ได้แก่ ทุกข์ที่เป็นวิบาก หรือทุกข์ในวัฎฏะ ใน
สูตรนี้ ไม่มีข้ออุปหาด้วยลูกบาศก์. คำว่า เอวํ ในบทว่า เอวํ วิคตา-
ภิชฺโณ
นี้เป็นเพียงนิบาต. อีกนัยหนึ่งชนทั้งหลายเจริญเมตตา ย่อมเป็น
ผู้ปราศจากอภิชฌาฉันใด พระอริยสาวกก็เป็นผู้ปราศจากอภิชฌาฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการที่พระอริยสาวกนั้น ข่มนิวรณ์ได้
ด้วยความเป็นผู้ปราศจากอภิชฌาเป็นต้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะตรัสนิสสรณะ
การแล่นออกไปจากอกุศล จึงตรัสว่า เมตฺตาสหคเตน เป็นต้น. บทว่า
อปฺปมาณํ ได้แก่ ชื่อว่า ไม่มีประมาณ เพราะเป็นผู้มีสัตว์ไม่มีประ-
มาณเป็นอารมณ์ หรือเพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสั่งสมแล้ว กามาวจร-
กรรม ชื่อว่ากรรมที่ทำโดยประมาณ. บทว่า น ตํ ตตฺราวติฏฺฐติ ความว่า
กามาวจรกรรมนั้นไม่อาจถือโอกาสของตนตั้งอยู่ได้ เหมือนน้ำเล็กน้อย
ในห้วงน้ำใหญ่ ที่แท้กรรมที่ไม่มีประมาณนี้เท่านั้น ครอบงำกามาวจร-
กรรมนั้นเหมือนน้ำเล็กน้อยในห้วงน้ำ ย่อมทำวิบากของตนให้บังเกิด.
บทว่า ทหรตคฺเค แปลว่า ตั้งแต่เป็นเด็ก. บทว่า นายํ กาโย
อาพาย คมนีโย
ความว่า ไม่อาจพากายนี้ไปยังปรโลกได้. บทว่า
จิตฺตนฺตโร แปลว่า มีจิตเป็นเหตุ. อีกนัยหนึ่ง แปลว่า เป็นไปในลำดับ
โดยจิตนั้นแล. อธิบายว่า จริงอยู่ จะชื่อว่า เทวะ ชื่อว่าสัตว์นรก ชื่อว่า
สัตว์เดียรัจฉาน ก็เพราะปฏิสนธิจิตดวงที่ 2 ในลำดับแห่งจุติจิตดวงที่ 1
นั่นแล. แต่ในนัยต้น จะเป็นเทวะ หรือสัตว์นรก ก็ด้วยทั้งจิตที่เป็น

1. อรรถกถาแก้บาลีข้อ 196 ซึ่งเป็นพระสูตรที่ 8 ในวรรคนี้.