เมนู

4. ทุติยอุปสิกาสูตร


ว่าด้วยอุบาสิกาผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการ


เป็นผู้ไม่แกล้วกล้าและแกล้วกล้าอยู่ครองเรือน


[192] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิผู้ประกอบด้วยธรรม 10
ประการ เป็นผู้ไม่แกล้วกล้าอยู่ครองเรือน ธรรม 10 ประการเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็น
ผู้มีความเห็นผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้ประกอบด้วยธรรม 10
ประการนี้แล เป็นผู้ไม่แกล้วกล้าอยู่ครองเรือน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการ
เป็นผู้แกล้วกล้าอยู่ครองเรือน ธรรม 10 ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อุบาสิกาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ
เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้ประกอบด้วยธรรม
10 ประการนี้แล เป็นผู้แกล้วกล้าอยู่ครองเรือน.
จบทุติยอุปาสิกาสูตรที่ 4

5. ธรรมปริยายสูตร


ว่าด้วยธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสน


[193] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุ
แห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความ
กระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรม

เป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรม
อันใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ หยาบ
ช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูใน
สัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสน ด้วยวาจา ด้วยใจ
กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คด มโนกรรมของเขาก็คด คติ
ของเขาก็คด อุบัติของเขาก็คด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคติ 2 อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือกำเนิดดิรัจฉาน
อันมีปกติกระเสือกกระสนของบุคคลผู้มีคติคด ผู้มีอุบัติอันคด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดดิรัจฉานมีปกติกระเสือกกระสนนั้น
เป็นไฉน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้าแมว
หรือสัตว์ทั้งหลาย ผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆ
ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของ
สัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว ด้วยประการดังนี้แล คือเขาย่อมอุบัติ
ด้วยกรรมที่เขาทำ ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วย
ประการฉะนี้.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ลักทรัพย์. . . เป็นผู้ประพฤติ
ผิดในกาม. . . เป็นผู้พูดเท็จ. . . เป็นผู้พูดส่อเสียด. . . เป็นผู้พูดคำ
หยาบ . . . เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ . . . เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น . . . เป็นผู้คิด
ปองร้าย. . . เป็นผู้มีความเห็นผิด คือมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่

บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี
สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอน
ผู้อื่นให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดังนี้ บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย
ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คด มโนกรรม
ของเขาก็คด คติของเขาก็คด การอุบัติของเขาก็คด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวคติ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือนรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว
หรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปกติกระเสือกกระสน ของบุคคลผู้มีคติอัน
คด ผู้มีการอุบัติอันคด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมี
ปกติกระเสือกกระสนนั้นเป็นไฉน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน
แมว หนู นกเค้าแมว หรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมี เพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการ
ดังนี้แล คือเขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่เขาทำ ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้อง
เขาผู้อุบัติแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายย่อม
เป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของ ๆ ตน
เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนใน
โลกนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศัสตรา
มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์

ทั้งปวงอยู่ บุคคลนั้นย่อมไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของเขาก็ตรง มโนกรรมของเขาก็ตรง
คติของเขาก็ตรง การอุบัติของเขาก็ตรง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อม
กล่าวคติ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีคติอันตรง ผู้มีการ
อุบัติอันตรง คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือสกุลที่สูง ๆ คือ
สกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคฤหบดีมหาศาล
อันมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทองมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่ง
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว ด้วยประการดังนี้แล คือ0
สัตว์นั้น ย่อมอุบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อม0ถูก
ต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการ
ลักทรัพย์. . . ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิด
ในกาม. . . ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ. . . ละคำส่อเสียด
เว้นขาดจากคำส่อเสียด. . . ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ. . . ละการ
พูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ . . . เป็นผู้ไม่อยากได้ของผู้อื่น. . .
เป็นผู้มีจิตไม่คิดปองร้าย. . . เป็นผู้มีความเห็นชอบ คือมีความเห็นไม่
วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การเซ่นสรวงมีผล การบูชามีผล ผลวิบาก
แห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี
สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้
ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง

แล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตาม มีอยู่ในโลก ดังนี้ บุคคลนั้นย่อมไม่กระเสือก
กระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของ
เขาก็ตรง มโนกรรมของเขาก็ตรง คติของเขาก็ตรง การอุบัติของเขาก็
ตรง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวคติ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
ของบุคคลผู้มีคติตรง ผู้มีการอุบัติตรง คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วน
เดียว หรือสกุลที่สูง ๆ คือสกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล
หรือสกุลคฤหบดีหาศาลอันมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทอง
มาก มีเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก การอุบัติของสัตว์ย่อมมี
เพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่
ตนทำไว้ ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วย
ประการฉะนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็น
ผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มี
กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็น
เหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นดังนี้แล.
จบธรรมปริยายสูตรที่ 5

อรรถกถาธรรมปริยายสูตรที่1 6


สูตรที่ 6

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สํสปฺปติปริยายํ โว ภิกฺขเว ธมฺมปริยายํ ได้แก่ การ

1. อรรถกถาแก้ข้อ 193 อันเป็นสูตรที่ 5 แต่อรรถกถาเป็นสูตรที่ 6.