เมนู

4. วัชชิยสูตร


ว่าด้วยวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชก


[94] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับผู้ที่ฝั่งสระโบกขรณี
ชื่อคัคครา ใกล้เมืองจัมปา ครั้งนั้นแล วัชชิยมาหิตคฤหบดี ได้ออก
จากเมืองจัมปาแต่ยังวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น วัชชิย-
มาหิตคฤหบดีได้มีความคิดว่า มิใช่เวลาเพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน-
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงหลีกเร้นอยู่ มิใช่กาลเพื่อจะเยี่ยมภิกษุ
ทั้งหลายผู้ยังใจให้เจริญ เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ยังใจให้เจริญยังหลีกเร้นอยู่
อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเถิด
ลำดับนั้น วัชชิยหาหิตคฤหบดีได้เข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ก็สมันนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกกำลังร่วมประชุมกัน บันลือเสียง
เอ็ดอึง นั่งพูดกันถึงดิรัจฉานกถาหลายอย่าง พวกเขาเห็นวัชชิยมาหิต-
คฤหบดี กำลังเดินทางมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงยังกันและกันให้หยุดด้วย
กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงเบาเสียง อย่าได้เปล่งเสียง วัชชิยมาหิตคฤหบดีคนนี้
เป็นสาวกของพระสมณโคดม กำลังเดินมา วัชชิยมาหิตคฤหบดีนี้เป็นสาวก
คนหนึ่งในบรรดาคฤหัสถ์ผู้นุ่งห่มผ้าขาวซึ่งเป็นสาวกของพระสมณโคดม
อาศัยอยู่ในเมืองจัมปา ก็ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ในเสียงเบา ได้รับแนะนำ
ในทางเสียงเบา กล่าวสรรเสริญเสียงเบา แม้ไฉน เขาทราบบริษัทผู้มีเสียง
เบา พึงสำคัญที่จะเข้ามาหา ลำดับนั้น ปริพาชกเหล่านั้นได้นิ่งอยู่ วัชชิย-
มาหิตคฤหบดีก็เข้าไปหาพวกปริพาชกถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้สนทนาปราศรัย
กับปริพาชกเหล่านั้น ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไป
แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นได้

กล่าวกะท่านวัชชิยมาหิตคฤหบดีว่า ดูก่อนคฤหบดี ได้ยินว่า พระมหา-
สมณโคดมทรงติเตียนตบะทั้งหมด เข้าไปด่า เข้าไปว่าร้ายผู้มีตบะ ผู้ที่
เลี้ยงชีพด้วยอาการเศร้าหมองทั้งหมด โดยส่วนเดียวจริงหรือ.
วัชชิยมาหิตคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงติเตียนตบะทั้งหมดหามิได้ เข้าไปด่า เข้าไปว่าร้ายผู้มีตบะ
ผู้ที่เลี้ยงชีพด้วยอาการเศร้าหมองทั้งหมด โดยส่วนเดียวก็หามิได้ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ทรงสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนอยู่ ทรงสรรเสริญผู้ที่
ควรสรรเสริญอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีปกติตรัสแยกกัน ในเรื่องนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมิใช่ที่ปกติตรัสโดยส่วนเดียว.
เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกคนหนึ่ง จึงพูด
กะวัชชิยมาหิตคฤหบดีว่า ท่านหยุดก่อน คฤหบดี พระสมณโคดมที่ท่าน
กล่าวสรรเสริญ เป็นผู้แนะนำในทางฉิบหาย เป็นผู้ไม่มีบัญญัติ.
ว. ท่านผู้เจริญ แม้ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวกะท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
โดยชอบธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้
เป็นอกุศล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลไว้
ดังนี้ จึงชื่อว่าทรงเป็นผู้มีบัญญัติ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมิใช่ผู้แนะนำ
ในทางฉิบหาย ไม่ใช่ผู้ไม่มีบัญญัติ.
เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกทั้งหลายได้เป็น
ผู้นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา โต้ตอบไม่ได้ ลำดับนั้น
วัชชิยมาหิตคฤหบดีทราบว่า ปริพาชกเหล่านั้นเป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก

ก้มหน้า ซบเซา โต้ตอบไม่ได้ แล้วลุกจากอาสวะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลเรื่องที่สนทนากับอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
เหล่านั้นทั้งหมด แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบทุกประการ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ คฤหบดี ท่านพึงข่มขี่พวก
โมฆบุรุษให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยกาลอันควร โดยชอบธรรมอย่างนี้แล
ดูก่อนคฤหบดี เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่า ควรบำเพ็ญ เราไม่กล่าวตบะ
ทั้งหมดว่า ไม่ควรบำเพ็ญ เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ควรสมาทาน
เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ไม่ควรสมาทาน เราไม่กล่าวการเริ่มตั้ง
ความเพียรทั้งหมดว่า ควรเริ่มตั้งความเพียร เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความ
เพียรทั้งหมดว่า ไม่ควรเริ่มตั้งความเพียร เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า
ควรสละ เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ไม่ควรสละ เราไม่กล่าวการ
หลุดพ้นทั้งหมดว่า ควรหลุดพ้น เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า
ไม่ควรหลุดพ้น ดูก่อนคฤหบดี เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศล-
ธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวตบะ
เห็นปานนั้นว่า ไม่ควรบำเพ็ญ ก็เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศล-
ธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวตบะ
เห็นปานนั้นว่าควรบำเพ็ญ เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทานอันใดอยู่อกุศล-
ธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการ
สมาทานเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรสมาทาน เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทาน
อันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง

เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ควรสมาทาน เมื่อบุคคลเริ่มตั้งความ
เพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อม
เสื่อมไป เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ไม่ควรเริ่มตั้ง เมื่อ
บุคคลเริ่มตั้งความเพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศล-
ธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้น ว่า
ควรเริ่มตั้ง เมื่อบุคคลสละซึ่งการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อม
เจริญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่าไม่
ควรสละ เมื่อบุคคลสละการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อม
ไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ควร
สละ เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ
ยิ่ง กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า
ไม่ควรหลุดพ้น เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรม
ทั้งหลายย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการหลุด
พ้นเห็นปานนั้นว่า ควรหลุดพ้น ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีอันพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อวัชชิยมาหิตคฤบดีหลีกไปไม่นาน พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดแล
ผู้มีกิเลสเพียงดังว่าธุลีในปัญญาจักษุน้อยในธรรมวินัยนี้ตลอดกาลนานภิกษุ
แม้นั้น พึงข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดย
ชอบธรรม เหมือนอย่างวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่แล้วฉะนั้น.
จบวัชชิยสูตรที่ 4

อรรถกถาวัชชิยสูตรที่ 4


วัชชิยสูตรที่ 4

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คฤหบดีมีชื่ออย่างนี้ว่า วัชชิยมาหิตะ. บทว่า สพฺพํ ตปํ ความว่า
มีการกระทำกิจที่ทำได้ยากเป็นตบะทุกอย่าง. บทว่า สพฺพํ ตปสฺสึ ได้แก่
ผู้อาศัยตบะทุกอย่าง. บทว่า ลูขาชีวึ ได้แก่ ประกอบเนือง ๆ ซึ่งการ
เลี้ยงชีพด้วยการการทำกิจที่ทำได้ยาก. บทว่า คารยฺหํ แปลว่า ผู้ควร
ติเตียน. ทว่า ปสํสิยํ แปลว่า ผู้ควรสรรเสริญ. บทว่า เวนยิโก ได้
แก่ ผู้ที่ตนเองมิได้แนะนำ แต่บุคคลอื่นแนะนำ. บทว่า อปฺปญฺญตฺติโก
ความว่า ไม่อาจบัญญัติสิ่งไร ๆ. อีกนัยหนึ่ง บทว่า เวนยิโก แปลว่า
ผู้ทำสัตว์ให้พินาศ. บทว่า อปฺปญฺญตฺติโก ได้แก่ บัญญัติพระนิพพานที่
ไม่ประจักษ์ ไม่อาจบัญญัติสิ่งไร ๆ ในสัสสตทิฏฐิเป็นต้น . บทว่า น โส
ภควา เวนยิโก
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงรู้ตามความเป็น
จริงอย่างนี้ ทรงบัญญัติกุศลอกุศล ไม่ใช่ผู้อื่นจะพึงแนะนำ ไม่ใช่ผู้อื่น
ให้ศึกษา อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่ผู้ทำสัตว์ให้พินาศ ทรงแนะ
นำด้วยดี ทรงให้ศึกษาด้วยดี ทรงแนะนำสัตว์ เพราะทรงบัญญัติธรรม
ที่ทรงอาศัยบัญญัติอย่างมีสติ ท่านแสดงว่า ข้อบัญญัติของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้น เป็นข้อบัญญัติที่ดีทั้งนั้น.
บทว่า วิมุตฺตึ วิมุจฺจโต อกุสลา ธมฺมา ความว่า อกุศลธรรม
ทั้งหลาย ชื่อว่าย่อมเจริญแก่จิตที่น้อมไปสู่อธิมุตติ คือ มิจฉาทิฏฐิ. ทรง
หมายเอาข้อนั้นจึงตรัสคำนี้. แต่ความหลุดพ้นแห่งจิตในพระศาสนา ย่อม
ไม่แล่นไปสู่สังขตธรรม เพราะเหตุนั้น วิมุตติความหลุดพ้นจึงเป็นปัจจัย
แก่กุศลธรรมเท่านั้น.
จบอรรถกถาวัชชิยสูตรที่ 4