เมนู

เทศนาประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล จึงแจ่มแจ้งกะพระตถาคต
โดยส่วนเดียว.
จบปุณณิยสูตรที่ 3

อรรถกถาปุณณิยสูตรที่ 3


ในปุณณิยสูตที่ 3 บทว่า โน จ ปยิรูปาสิตา แปลว่า ไม่บำรุง.
จบอรรถกถาปุณณิยสูตรที่ 3

4. พยากรณสูตร


ว่าด้วยภิกษุละธรรม 10 ประการ


จักถึงความเจริญงอกงามในธรรมวินัยนี้


[84] ณ ที่นั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เรียกภิกษุทั้งหลาย
มาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้มีอายุเหล่านั้นกล่าวรับท่านพระมหาโมคคัล-
ลานะแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวคำนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตผลว่า เราทรายชัดว่า ชาติสิ้น
แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ.
เป็นอย่างนี้มิได้มี พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ฉลาด
ในสมาบัติ ฉลาดในจิตของผู้อื่น ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น
ย่อมซักถาม สอบถาม ไล่เลียงภิกษุนั้น ภิกษุนั้นอันพระตถาคตหรือ
สาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน... ไล่เลียงอยู่ ย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า
ไม่มีคุณ ไม่เจริญ พินาศ ความไม่เจริญและความพินาศ พระตถาคต
หรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ฉลาดในจิตของผู้อื่น ฉลาดในการ
กำหนดรู้จิตของผู้อื่น กำหนดรู้ใจด้วยใจแล้ว กระทำไว้ในใจซึ่งภิกษุนั้น
อย่างนี้ว่า เพราะเหตุไรหนอ ท่านผู้นี้จึงพยากรณ์อรหัตผลว่า เราทราบว่า

ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน...
กำหนดรู้ใจด้วยใจแล้ว ย่อมทราบชัดภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้
มักโกรธ มีใจอันความโกรธกลุ้มรุมแล้วอยู่โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่ง
ความโกรธนี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่าน
ผู้นี้เป็นผู้ผูกโกรธไว้ มีใจอันความผูกโกรธไว้กลุ้มรุมอยู่โดยมาก ก็ความ
กลุ้มรุมแห่งความผูกโกรธนี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคต
ประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีความลบหลู่ มีใจอันความลบหลู่กลุ้มรุมอยู่
โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความลบหลู่นี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้ตีเสมอ มีใจอันความตีเสมอ
กลุ้มรุมอยู่โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความตีเสมอนี้ เป็นความเสื่อม
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีความริษยา มีใจ
อันความริษยากลุ้มรุมอยู่มาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความริษยานี้ เป็น
ความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้ตระหนี่
มีใจอันความตระหนี่กลุ้มรุมอยู่โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความตระหนี่นี้
เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้
โอ้อวด มีใจอันความโอ้อวดกลุ้มรุมอยู่โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความ
โอ้อวดนี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่าน
ผู้นี้เป็นผู้มีมารยาท มีใจอันมารยากลุ้มรุมอยู่โดยมาก ก็ความกลุ้มรุมแห่ง
มารยานี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้
เป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีใจอันความปรารถนาลามกกลุ้มรุมอยู่โดย
มาก ก็ความกลุ้มรุมแห่งความปรารถนาลามกนี้ เป็นความเสื่อมในธรรม

วินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีสติหลงลืม ถึงความทอดทิ้ง
ธุระระหว่างคุณวิเศษเบื้องบนด้วยการบรรลุคุณวิเศษเบื้องต่ำ ก็การ
ถึงความทอดทิ้งธุระในระหว่างนี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระ-
ตถาคตประกาศแล้ว ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ ไม่ละธรรม
10 ประการนี้แล้ว จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้
ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ ละธรรม
10 ประการนี้แล้ว จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้
ย่อมเป็นฐานะที่มีได้.
จบพยากรณสูตรที่ 4

อรรถกถาพยากรณสูตรที่ 4


พยากรณสูตรที่ 4

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ฌายี สมาปตฺติกุสโล ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยฌานทั้งหลาย
และผู้ฉลาดในสมาบัติ. บทว่า อิริณํ ได้แก่ ความเปล่าประโยชน์. บทว่า
วิจินํ ได้แก่ ความเสาะคุณ ความไร้คุณ. อีกนัยหนึ่ง เป็นประหนึ่งเข้า
ถึงป่าใหญ่ ที่เรียกว่าอิริณะ และชัฏใหญ่ ที่เรียกว่าวิจินะ. บทว่า อนยํ
ได้แก่ ความไม่เจริญ. บทว่า พฺยสนํ ได้แก่ ความพินาศ. บทว่า
อนพฺยสนํ ได้แก่ ความไม่เจริญ พินาศ. บทว่า กึ นุ โข แปลว่า
เพราะเหตุไร.
จบอรรถกถาพยากรณสูตรที่ 4