เมนู

หิริ...ผู้ไม่มีโอตตัปปะ...ผู้เกียจคร้าน...ผู้มีปัญญาทราม...ผู้มักโกรธ
...ผู้ผูกโกรธ...ผู้มีความปรารถนาลามก...ผู้มีมิตรชั่ว...ผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐินี้ เป็นความเสื่อม.
ดูก่อนสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ
มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญาในกุศลทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของ
ผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่
หวังได้ความเสื่อม ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืนหรือกลางวัน
ของพระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้นย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญ
ด้วยวรรณะ ย่อมเจริญด้วยมณฑล ย่อมเจริญด้วยแสงสว่าง ย่อมเจริญ
ด้วยด้านยาวและด้านกว้าง ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาใน
กุศลธรรมทั้งหลายเลย...ผู้นั้นพึงหวังได้ ซึ่งความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย
ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนสารีบุตร คำว่าบุคคลผู้
มีศรัทธานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม คำว่าบุคคลผู้มีหิริ...ผู้มีโอตตัปปะ...
ผู้ปรารภความเพียร...ผู้มีปัญญา...ผู้ไม่มักโกรธ...ผู้ไม่ผูกโกรธ...
ผู้มีความปรารถนาน้อย...ผู้มีคนดีเป็นมิตร...ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินี้ ไม่ใช่
ความเสื่อม.
จบปฐมนฬกปานสูตรที่ 7

8. ทุติยนฬกปานสูตร


ว่าด้วยผู้มีศรัทธาในกุศลธรรมไม่หวังได้ความเสื่อมเลย


[68] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปลาสวัน ใน
นฬกปานนิคม สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าอันหมู่ภิกษุแวดล้อม

ประทับนั่งแล้วในวันอุโบสถ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงภิกษุทั้งหลาย
ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาสิ้นส่วน
แห่งราตรีเป็นอันมาก ทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งเงียบอยู่แล้ว ตรัสกะท่าน
พระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุสงฆ์เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะแล้ว
ธรรมีกถาเพื่อภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะเธอ เราเมื่อยหลัง จักเอนหลัง
ท่านพระสารีบุตรทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่ง
ให้ปูผ้าสังฆาฏิ 4 ชั้นแล้ว สำเร็จสีหไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อน
พระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำอุฏฐานสัญญา
ไว้ในพระทัย.
ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นกล่าวรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร
ได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลทั้งหลาย
ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญา ไม่มีการเงี่ยโสตลงฟัง
ธรรม ไม่มีการทรงจำธรรมไว้ ไม่มีการพิจารณาเนื้อความ ไม่มีการ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่มีความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย
กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม
ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเจริญเลย ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
เปรียบเหมือนกลางคืนหรือกลางวันของพระจันทร์ในปักษ์ข้างแรมย่อม
ผ่านพ้น พระจันทร์ย่อมเสื่อมวรรณะ ... ฉันใด ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธา
ในกุศลธรรมทั้งหลาย ... ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย
มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญา มีการเงี่ยโสตลงฟังธรรม มีการทรง-

จำธรรมไว้ มีการพิจารณาเนื้อความ มีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
มีความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น
ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้
ความเสื่อมเลย ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนกลางคืนหรือกลางวัน
ของพระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้นย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญ
ด้วยวรรณะ. . . ฉันใด ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาใน
กุศลธรรมทั้งหลาย . . . ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสชมท่านพระ-
สารีบุตรว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้ง-
หลาย . . . ไม่หวังได้ความเจริญเลย ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนกลาง
คืนหรือกลางวันของพระจันทร์ในปักษ์ข้างแรมย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์
ย่อมเสื่อมจากวรรณะ. . . ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธา
ในกุศลธรรมทั้งหลาย. . . ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ... ไม่
หวังได้ความเสื่อมเลย ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืนหรือกลาง
วันของพระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้นย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญ
ด้วยวรรณะ . . . ฉันใด ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย . . .
ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบทุติยนฬกปานสูตรที่ 8

อรรถกถาปฐมนฬกปานสูตรที่ 7


ปฐมนฬกปานสูตรที่ 7

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า นฬกปานํ ได้แก่ นิคมมีชื่ออย่างนี้ เพราะครั้งอดีตฝูงวานร
อยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ใช้หลอดไม้อ้อในที่ดื่มน้ำ. บทว่า ตุณฺหีภูตํ
ตุณฺหีภูตํ
ความว่า ทรงชำเลืองดูทิศใด ๆ ก็ทรงเห็นภิกษุสงฆ์พากันนิ่งใน
ทิศนั้น ๆ. บทว่า อนุวิโลเกตฺวา ได้แก่ ทรงเหลียวดูจากทิศนั้น. บทว่า
ปิฏฺฐ เม คิลายติ ความว่า เหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งทรงเมื่อยพระ-
ปฤษฎางค์. เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตั้งมหาปธานความเพียร-
ใหญ่ถึง 6 ปี ก็ได้มีทุกข์ทางพระวรกายเป็นอันมาก ย่อมาภายหลัง ครั้น
ทรงพระชรา พระองค์จึงเกิดโรคพระวาคะเบื้องพระปฤษฎางค์ แท้จริง
อาพาธเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพระอิริยาบถมีประทับนั่งนานเป็นต้น ครอบงำ
พระอุปาทินนวรกายไม่ได้ดอก แต่ทรงอ้างข้อนั้นตรัสอย่างนี้ ก็เพื่อ
การทำโอกาสแก่พระเถระ. บทว่า สงฺฆาฏึ ปญฺญาเปตฺวา ความว่า
ทรงปูสังฆาฏิ บนเตียงที่เป็นกัปปิยะ [สมควร] ซึ่งเขาจัดไว้ในที่อัน
สมควรส่วนข้างหนึ่ง.
จบอรรถกถาปฐมนฬกปานสูตรที่ 7

9. ปฐมวัตถุกถาสูตร


ว่าด้วยกถาวัตถุ 10 ประการ


[69] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัย
นั้นแล ภิกษุเป็นอันมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต นั่งประชุมกันที่