เมนู

ตัวเป็นต้นอันเกิดในมุขนิมิตเงาหน้านั้น. ทว่า อาสวานํ ขยาย ได้แก่
เพื่อประโยชน์แก่พระอรหัต.
จบอรรถกถาสจิตตสูตรที่ 1

2. สาริปุตตสูตร1


ว่าด้วยภิกษุพึงเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน


[52] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่าน
พระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุไม่เป็น
ผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่นไซร้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ภิกษุนั้นพึงศึกษาว่า
เราจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน
อย่างไร ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่ม
สาวมีปกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องอันบริสุทธิ์หมดจด
หรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อ
ขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากว่าไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อม
ดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของเราหนอ
หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย การ
พิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเรา
เป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ

1. สูตรที่ 2 ไม่มีอรรถกถาอธิบาย.

หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก เราเป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุม
อยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปราศจากถิ่นมิทธะอยู่โดยมาก เรา
เป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่โดยมาก
เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ข้ามพ้นความ
สงสัยโดยมาก เราเป็นผู้มีความโกรธอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็น
ผู้ไม่มีความโกรธอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมากหรือ
หนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีกายอัน
ปรารภแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีกายอันมิได้ปรารภ
แรงกล้าอยู่โดยมาก เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเรา
เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือ
หนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ ย่อมเป็นอุปการะ
มากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถามว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้
ว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก ฯลฯ เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดมาก
ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ
ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้
หรือมีศีรษะอันไฟไหม้ พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ
ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง
เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือไฟไหม้ศีรษะนั้น ฉันใด ภิกษุพึงทำความพอใจ
ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติ

และสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศล
เหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้
ว่า เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก ฯลฯ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น อยู่โดยมาก
ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความ
เพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งในรูป.
จบสาริปุตตสูตรที่ 2

3. ฐิติสูตร


ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญความตั้งอยู่ในกุศลธรรม


[53] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญแม้ซึ่งความตั้งอยู่ใน
กุศลธรรมทั้งหลาย ไฉนจะสรรเสริญความเสื่อมรอบในกุศลธรรมทั้งหลาย
เล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เราสรรเสริญความเจริญในกุศลธรรมทั้ง
หลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อมในกุศลธรรม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความ
ตั้งอยู่ มิใช่ความเจริญอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณเท่าไร ธรรมเหล่านั้น
ของภิกษุนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่เจริญขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว
ข้อนี้ว่า เป็นความเสื่อมใน กุศลธรรมทั้งหลา มิใช่ความตั้งอยู่ มิอยู่
ความเจริญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายมีอยู่
มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเจริญ อย่างนี้แล.