เมนู

พ. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความ
สละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ความสิ้นแห่งตัณหา ความปราศจากความกำหนัด
ความดับ นิพพาน ดังนี้ ดูก่อนอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวี-
ธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็น
อาโปธาตุเป็นอารมณ์... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้า
เป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่
ภิกษุได้อย่างนี้แล.
จบสมาธิสูตรที่ 6

7. สาริปุตตสูตร


ว่าด้วยไม่พึงสำคัญปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นต้น


[7] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึง
ที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึง
กันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูก่อนท่านสารีบุตรผู้มีอายุ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น
ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น
อารมณ์... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ.
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูก่อนท่านอานนท์ ตนไม่พึงมีความ
สำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญ
ในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้

สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ.
อา. ดูก่อนท่านสารีบุตร ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น
ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลก
หน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น
พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร
สา. ดูก่อนท่านอานนท์ สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ ป่าอัมธวัน ใกล้พระ-
นครสาวัตถีนี้แหลพ ณ ที่นั้น ผมเข้าสมาธิ โดยประการที่ผมมิได้มีความ
สำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญใน
อาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในเตโชธาตุว่า
เป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุ
เป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในอากาสัญจายตนฌานว่าเป็นอากาสา-
นัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในวิญญาณัญจายตนฌาน
ว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในอากิญ-
จัญญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความ
สำคัญในเนวสัญญานา สัญญายตนฌานว่าเป็นเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน
เป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ มิได้มี
ความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าผมเป็นผู้มี
สัญญา.
อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร.
สา. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การ
ดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล สัญญาอย่างหนึ่ง
ย่อมดับไป ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่ เปลวอย่างหนึ่ง

ย่อมเกิดขึ้น เปลวอย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพ
เป็นนิพพาน ดังนี้ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มีสัญญาว่า การดับภพเป็น
นิพพาน ดังนี้.
จบสาริปุตตสูตรที่ 7

8. สัทธาสูตร


ว่าด้วยภิกษุมีศรัทธาเป็นต้นย่อมก่อให้เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ


[8] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีลอย่างนี้
เธอชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอนั้นพึงบำเพ็ญองค์นั้นให้
บริบูรณ์ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธาและศีล ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธาและศีล เมื่อนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้
บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล
แต่ไม่เป็นพหูสูต ฯลฯ เป็นพหูสูต แต่ไม่เป็นธรรมกถึก ฯลฯ เป็น
ธรรมกถึก แต่ไม่เข้าสู่บริษัท ฯลฯ เข้าสู่บริษัท แต่ไม่แกล้วกล้าแสดง
ธรรมแก่บริษัท ฯลฯ แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท แต่ไม่ทรงวินัย ฯลฯ
ทรงวินัย แต่ไม่อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ฯลฯ อยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด แต่ไม่ได้ตามความปรารถนา ไม่ได้โดย
ไม่ยาก ไม่ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็น
สุขในปัจจุบัน ฯลฯ ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่
ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่สุขในปัจจุบัน แต่