เมนู

5. ฌานสูตร


ว่าด้วยฌานสมาบัติและสัญญาเวทนิตนิโรธ


[240] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติฌานบ้าง ตติยฌาน
บ้าง จตุตฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัย
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง.
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัย
อะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัด
จากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่ง
ปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของ
ชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรม
เหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ
นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละ
คืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ
นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ


ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อม
เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพาน ในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ด้วยความยินดี
เพลิดเพลินในธรรมนั้น ๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน
นายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และ
ทำลายร่างใหญ่ ๆ ได้แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์...
ว่างเปล่าเป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น
ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌาน
นั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิย-
สังโยชน์ 5 สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น ๆ ข้อที่
เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลายเพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น อาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราอาศัย
ตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัย

อะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุ
จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส
โทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่
ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ
นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลิน
ในธรรมนั้น ๆ ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู
หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้า
หรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลาย
ร่างใหญ่ ๆ ได้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือน
กันแล บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อ
ที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้
กล่าวแล้ว

ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้
นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับ
ปฏิฆสัญญา และเพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากา-
สานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากาสานัญจายตนฌานนั้น โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิต
ให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุ
ว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง...
นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากาสานัญจายตนฌานนั้น ย่อมถึงความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอัน
ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5
สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น ๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิง
ธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ ๆ ได้ แม่ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุ
อากาสานัญจายตนฌาน... เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย ฯลฯ

มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่เรากล่าวว่า เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะ
อาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว.
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตนฌาน
บ้าง ฯลฯ อากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว
แล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญา-
ณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไร ๆ หน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่
ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่น
สงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง... นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อม
เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา เพราโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ด้วยความ
ยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น ๆ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน
นายขมังธนูหรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่น
ที่ทำด้วยหญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด
และทำลายร่างใหญ่ ๆ ได้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็

ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการ
ทั้งปวง บรรลุกิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า
อะไร ๆ หน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญ-
จัญญายตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์... ว่างเปล่า
เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรม
เป็นที่สงบสังขารทั้งปวง... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตน-
ฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่พึงกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัม-
ภาคิยสังโยชน์ 5 สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น ๆ
ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น
เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล
สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อายตนะ 2 เหล่านี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ 1
สัญญาเวทยิตนโรธ 1 ต่างอาศัยกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว
ว่า อายตนะ 2 ประการนี้ อันภิกษุผู้เข้าฌานผู้ฉลาดในการเข้า
สมาบัติ และฉลาดในการออกจากสมาบัติ เข้าแล้วออกแล้ว พึง
กล่าวได้โดยชอบ.
จบ ฌานสูตรที่ 5

อรรถกถาฌานสูตรที่ 5


ฌานสูตรที่ 5

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาสวานํ ขยํ ได้แก่ พระอรหัต. บทว่า ยเทว ตตฺถ
โหติ รูปคตํ
ความว่า ธรรมดารูปใดย่อมเป็นไปในขณะปฐมฌาน
นั้นด้วยวัตถุก็ดี ด้วยมีจิตเป็นสมุฏฐานก็ดี. พึงทราบเวทนาเป็นต้น
ด้วยสามารถสังยุตตเวทนา (เวทนาที่ประกอบกัน เป็นต้น). บทว่า
เต ธมฺเม ได้แก่ ธรรม คือ เบญจขันธ์ มีรูปเป็นต้นเหล่านั้น.
ในบททั้งหลายมีอาทิว่า อนิจฺจโต พึงทราบความต่อไปนี้
ชื่อว่า โดยเป็นของไม่เที่ยง เพราอาการมีแล้วไม่มี ชื่อว่า โดย
เป็นทุกข์เพราะอาการบีบคั้น ชื่อว่า โดยเป็นโรคเพราะอาการ
เสียดแทง ชื่อว่า โดยเป็นฝีเพราะเจ็บปวดภายใน ชื่อว่า โดยเป็น
ลูกศร เพราะเสียบเข้าไปและเพราะเชือดเข้าไป ชื่อว่า โดยเป็น
ความลำบากเพราะทนได้ยาก ชื่อว่า โดยอาพาธเพราะถูกเบียด-
เบียน ชื่อว่า โดยเป็นอื่นเพราะไม่ใช่เป็นของตน ชื่อว่า โดยเป็น
ของทำลายเพราะผุพังไป ชื่อว่า โดยเป็นของสูญเพราะไม่เป็น
เจ้าของ ชื่อว่า โดยเป็นอนัตตาเพราะไม่อยู่ในอำนาจ. บทว่า
สมนุปสฺสติ ได้แก่ เห็นด้วยวิปัสสนาญาณอันแก่กล้า. บทว่า
เตหิ ธมฺเมหิ ได้แก้ด้วยธรรมคือ เบญจขันธ์เหล่านั้น. บทว่า
ปติฏฺฐาเปติ ได้แก่กลับไปด้วยความเบื่อหน่าย. บทว่า อมตาย ธาตุยา
ได้แก่ นิพพานธาตุ. บทว่า จิตฺตํ อุปสํหรติ ได้แก่ เห็นด้วยวิปัสสนา-
ญาณอันแก่กล้า คือเห็นอานิสงส์ด้วยญาณแล้วหยั่งลง. บทว่า