เมนู

สมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต... และการที่บุคคล
เจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคล
เจริญเมตตาจิตโดยที่สุด แม้เพียงเวลาสูดดมของหอม.
จบ เวลามสูตรที่10

อรรถกถาเวลามสูตร


เวลามสูตรที่ 10

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อปิ นุ เต คหปติ กุเล ทานํ ทิยฺยติ ความว่า นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสถามถึงทานที่ท่านถวายแก่ภิกษุสงฆ์
แท้จริง ในเรือนของเศรษฐียังให้ทานอันประณีตเป็นประจำแก่
ภิกษุสงฆ์ พระศาสดาจะไม่ทรงรู้ถึงข้อนั้น ก็หามิได้ ส่วนทานที่
ให้แก่โลกิยมหาชน ทานนั้นเศร้าหมอง เศรษฐีไม่เอิบอิ่มใจ จึงตรัส
ถามทานนั้น. บทว่า กาณาชกํ ความว่า ข้าวสารปนกับรำ คือ
หุงแล้วด้วยข้าวสารกากนิดหนึ่งปนกับรำ. บทว่า พิลงฺคทุติยํ คือ
มีน้ำผักดองเป็นที่สอง.
บทว่า อสกฺกจฺจํ เทติ ได้แก่ จะให้ไม่ทำการเคารพ. บทว่า
อปจิตฺตึ กตฺวา เทติ ความว่า ให้โดยไม่นับถือ คือโดยไม่เคารพ
ในทักขิไณยบุคคล. บทว่า อสหตฺถา เทติ ความว่า ไม่ให้ด้วยมือ
ของตน ให้ด้วยมือของคนอื่น อธิบายว่า ย่อมกระทำเพียงสั่งเท่านั้น
เอง. บทว่า อปวิฏฺฐํ เทติ ความว่า ย่อมไม่ให้ติดต่อกัน คือให้เป็น

เหมือนคนใคร่จะทิ้งเสีย เหมือนคนจับเหี้ยใส่ในจอมปลวก เหมือน
เครื่องเซ่นของนักเลงเหล้าประจำปีฉะนั้น. บทว่า ทานมทาสิฏฺฐิโก
เทติ
ความว่า ไม่เชื่อกรรมและผลให้ทาน.
บทว่า ยตฺถ ยตฺถ ได้แก่ บรรดากุลสัมปทาทั้งสาม ในตระกูล
ใด ๆ. ในบทเป็นต้นว่า น อุฬาราย ภตฺตโคคาย มีวินิจฉัยดังนี้ เมื่อ
เขาน้อมโภชนะแห่งข้าวสาลีหอม ซึ่งมีรสอร่อยต่าง ๆ เข้าไปแล้ว
เขาจะไม่น้อมจิตไป (เพื่อจะบริโภค) ยังกล่าวว่า ท่านจงนำไปเถิด
นั่นโรคกำเริบ ดังนี้ ชอบบริโภคข้าวปนรำกับผักดอง เหมือนอมตะ.
เมื่อเขาน้อมผ้าอย่างดี มีผ้ากาสีเป็นต้นเข้าไปแล้ว ก็กล่าวว่า
ท่านจงนำไปเถิด ผ้าเหล่านี้ ย่อมไม่สามารถแม้ปิดบังได้ ย่อมไม่
ติดอยู่แม้ที่ร่างกายของบุคคลผู้หนึ่งอยู่ดังนี้ ชอบนุ่งผ้าเนื้อหยาบ
เช่นกับเปลือกของมะพร้าวทำเป็นผ้าด้วยคิดว่า ผู้นุ่งผ้าเหล่านี้
ย่อมรู้สึกว่านุ่งห่มแล้ว ผ้าเหล่านั้นย่อมปกปิดแม้สิ่งที่ควรปกปิด
ดังนี้ เมื่อเขาน้อมยานช้าง ยานม้า ยานรถหรือวอทองเป็นต้น เข้า
ไปให้ก็กล่าวว่า ท่านจงนำไปเถิด ยานเหล่านั้น ใคร ๆ ไม่อาจ
เพื่อจะนั่งเป็นสุขในยานนี้ได้ ดังนี้ เมื่อเขาน้อมรถเก่าคร่ำคร่า
เข้าไปให้ก็กล่าวว่า รถนี้เป็นรถไม่กระเทือน ในรถนี้นั่งได้เป็นสุข
ดังนี้ ย่อมยินดีรถนั้น. บทว่า น อุฬาเรสุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ
ความว่า เขาได้เห็นหญิงทั้งหลาย เป็นผู้มีรูปซึ่งประดับตกแต่ง
แล้วคิดว่า เห็นจะเป็นนางยักษิณี นางยักษิณีเหล่านั้น เป็นผู้ใคร่
จะกิน ประโยชน์อะไรด้วยหญิงทั้งหลายเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมให้
เวลาล่วงไปตามความผาสุก. บทว่า น สุสฺสูสนติ ความว่า บริวาร

ชนทั้งหลาย ย่อมไม่ปรารถนาเพื่อจะฟัง อธิบายว่า ย่อมไม่เชื่อดังนี้
ก็มี. บทว่า น โสตํ โอทหนฺติ ความว่า ย่อมไม่เงี่ยโสตประสาทลง
เพื่อฟังคำที่เขากล่าวแล้ว. บทว่าต้นว่า สกฺกจฺจํ พึงทราบโดย
ปริยายตรงข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
บทว่า เวลาโม ความว่า เป็นนามที่ได้แล้วอย่างนี้ เพราะ
ประกอบด้วยคุณทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ล่วงเขตแดน ชาติ โคตร รูป
โภคะ ศรัทธาและปัญญาเป็นต้น. ในบทว่า โส เอวรูปํ ทานมทาสิ
มหาทานํ
นี้ มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ในอดีต เวลามพราหมณ์นั้น ได้ถือปฏิสนธิแล้ว
ในเรือนของปุโรหิต ( พราหมณ์ที่ปรึกษาในทางขนบธรรมเนียม
ประเพณี ) กรุงพาราณสี พวกญาติได้ตั้งชื่อให้เขาว่า เวลามกุมาร
กรุงพาราณสี ในเวลาอายุ 16 ปี. คนแม้ทั้งสองนั้น ปรารถนาแล้ว
ซึ่งศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิสาปาโมกข์. พวกเขาปรารถนา
แล้วฉันใด ส่วนราชกุมารแปดหมื่นสี่พันคนแม้เหล่าอื่นในชมพูทวีป
ก็ปรารถนาแล้วฉันนั้น. พระโพธิสัตว์ ว่าที่ตำแหน่งที่ตนได้รับ
ก็เป็นอาจารย์คนหลัง จึงให้กุมารแปดหมื่นสี่พันศึกษาอยู่ ตนเอง
เรียนศีลปะ 3 ปีจบ ซึ่งเขาเรียนกัน 16 ปี. อาจารย์รู้ว่าศิลปะของ
เวลามกุมารคล่องแคล่วแล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนลูกทั้งหลาย เวลามะ
ย่อมรู้ศิลปะทั้งหมดที่เราได้รู้แล้ว พวกเจ้าทุกคนพร้อมใจกันไป
เรียนศิลปะในสำนักของเวลามะ ดังนี้จึงมอบกุมารแปดหมื่นสีพันคน
ให้แก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ ไหว้อาจารย์แล้ว เป็นผู้มีกุมาร

แปดหมื่นสี่พันแวดล้อมออกไปแล้ว ถึงเมืองซึ่งอยู่ใกล้แห่งหนึ่ง
จึงให้ราชกุมารผู้เป็นเจ้าของเมืองนั้นเรียน เมื่อเขาชำนาญในศิลปะ
แล้ว จึงให้เขากลับไปอยู่ในเมืองนั้นแหละ พระโพธิสัตว์ไปยังเมือง
แปดหมื่นสี่พันเมืองโดยอุบายนั้นแล้ว ให้ฝึกศิลปะของราชกุมาร
แปดหมื่นสี่พันคนชำนาญแล้ว จึงให้ราชกุมารนั้น ๆ กลับไปอยู่ใน
เมืองนั้น ๆ แล้วก็พาเอาราชกุมารกรุงพาราณสีกลับมายังกรุง-
พาราณสี. คนทั้งหลายในกรุงพาราณสีนั้น จึงได้อภิเษกราชกุมาร
กรุงพาราณสีผู้เรียนจบศิลปะแล้วไว้ในราชสมบัติ ได้ให้ตำแหน่ง
ปุโรหิตแก่เวลามะ. ราชกุมารแปดหมื่นสี่พันแม้เหล่านั้น ได้อภิเษก
แล้วในราชสมบัติทั้งหลายของตน ก็ยังพากันมาบำรุงพระเจ้ากรุง-
พาราณสีทุกปี. พระราชกุมารเหล่านั้น เฝ้าพระราชาแล้ว ได้ไปยัง
สำนักของเวลามะกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ เมื่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
ดำรงอยู่แล้วในราชสมบัติ ท่านประสงค์ด้วยสิ่งใด พึงบอกแล้วก็
พากันไป เมื่อราชกะมารเหล่านั้น พาเอาเกวียน รถ แม่โค โคผู้ ไก่
และสุกรเป็นต้น ในเวลาไปและเวลามา ชนบทก็ถูกเบียดเบียนอย่าง
หนัก. มหาชนประชุมพร้อมกันแล้ว เรียกร้องอยู่ที่พระลานหลวง.
พระราชารับสั่งให้เรียกเวลามะมาแล้ว ตรัสว่าข้าแต่ท่านอาจารย์
ชนบทถูกเบียดเบียน พระราชาทั้งหลาย ย่อมกระทำการปล้นใหญ่
ในเวลาไปและเวลามา คนทั้งหลาย ย่อมไม่สามารถเพื่อดำรงอยู่
สงบได้ ท่านทำอุบายอย่างหนึ่งเพื่อให้ชนบทสงบจากความเบียด-
เบียนดังนี้. เวลามะ กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชศิละ ข้าพระองค์
จักทำอุบาย พระองค์มีความต้องการด้วยชนบทมีประมาณเท่าใด พระองค์

ทรงกำหนดซึ่งชนบทนั้นแล้วถือเอา. พระราชาได้ทรงกระทำ
อย่างนั้นแล้ว. เวลามะ เที่ยวตรวจดูในชนบทของพระราชาแปดหมื่น
สี่พันแล้ว จึงให้รวมเข้ามาอยู่ในชนบทของพระราชา เหมือน
รวบรวมซี่ล้อไว้ที่ดุมล้อฉะนั้น. จำเดิมแต่นั้น พระราชาทั้งหลาย
เหล่านั้น เสด็จมาก็ดี เสด็จไปก็ดี ย่อมท่องเที่ยวไปตามชนบท
ของพระองค์ ๆ เท่านั้น ไม่ทรงทำการปล้นด้วยทรงดำริว่า ชนบท
ของเราทั้งหลายดังนี้ ไม่ทรงเบียดเบียนแม้ชนบทของพระราชา
ด้วยความเคารพต่อพระราชา. ชนบททั้งหลายก็สงบเงียบไม่มีเสียง
ขอร้อง. พระราชาทั้งปวงทรงร่าเริงยินดี ทรงปวารนาว่า ข้าแต่
ท่านอาจารย์ ท่านต้องการด้วยสิ่งใด ท่านจงบอกสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า
ทั้งหลายดังนี้. เวลามะสนานศีรษะแล้ว ให้เปิดประตูห้องเต็มด้วย
รัตนะ 7 ในนิเวศน์ของตน ตรวจดูทรัพย์ที่เก็บไว้ถึง 7 ชั่วแห่ง
ตระกูล พิจารณาแล้วซึ่งความเจริญและความเสื่อม คิดว่าเราควร
ให้ทานให้กระฉ่อนไปทั่วทั้งชมพูทวีปดังนี้แล้ว ได้กราบทูลแด่
พระราชาให้สร้างเตาแถวไว้ประมาณ 12 โยชน์ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา
ให้สร้างเรือนคลังใหญ่ไว้แล้วเพื่อต้องการเก็บเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
น้ำมัน งา และข้าวสารเป็นต้นในที่นั้น ๆ ได้จัดคนทั้งหลายไว้ว่า
ในที่นั้น ๆ ใช้คนประมาณเท่านี้ ๆ ช่วยจัดแจงของอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ชื่อว่าพวกมนุษย์จะพึงได้มีอยู่ แม้เมื่อของอย่างหนึ่งไม่มีจากของนั้น
ท่านทั้งหลายพึงบอกแก่เราดังนี้ จึงให้คนตีกลองเดินไปในเมือง
ว่า ขอชนทั้งหลาย จงบริโภคทานของเวลาพราหมณ์ เริ่มแต่วันโน้น
ดังนี้ เมื่อบุคคลผู้จัดการท่านบอกว่า โรงทานสำเร็จแล้ว นุ่งผ้า

ราคาหนึ่งพัน ผ้าเฉวียงบ่าราคาห้าร้อยแต่งแล้วด้วยเครื่องประดับ
ทุกอย่าง ใส่น้ำซึ่งมีสีแก้วผลึกให้เต็มสุวรรณภิงคาร (เต้าน้ำทอง)
แล้วเพื่อทดลองทานน้ำสุจจกิริยาว่า ถ้าในโลกนี้ ยังมีทักขิเณยยบุคคล
ผู้สมควรรับทานนี้ ขอน้ำนี้ไหลออกแล้ว จงซึมแผ่นดิน ถ้าไม่มี
จงตั้งอยู่อย่างนี้ ได้เอียงปากสุวรรณภิงคารลงแล้ว. น้ำได้เป็นแล้ว
เหมือนกับธมกรกถูกอุดไว้แล้ว. พระโพธิสัตว์มิได้เดือดร้อนว่า
โอท่านผู้เจริญ ชมพูทวีปว่างเปล่า ย่อมไม่มีแม้บุคคลคนเดียวที่ควร
รับทักษิณาดังนี้ คิดแล้วว่า ถ้าทักขิณาจักบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ขอ
น้ำไหลออกแล้ว จึงซึมแผ่นดินไปดังนี้. น้ำคล้ายสีแก้วผลึกไหล
ออกแล้ว ซึมแผ่นดินไปแล้ว. คราวนี้เขาไปแล้วยังโรงทานด้วย
คิดว่า จักให้ทาน ตรวจดูทานแล้ว ใช้ให้คนให้ข้าวต้มในเวลา
ข้าวต้ม ให้ของเคี้ยวในเวลาของเคี้ยว ให้อาหารในเวลาอาหาร
แล้ว. พระโพธิสัตว์ได้ให้ทานทุก ๆ วันโดยทำนองนี้นั่นแล. ก็แล
ในโรงทานนี้ ไม่มีคำที่จะพึงพูดว่า ชื่อสิ่งนี้มี ชื่อสิ่งนี้ไม่มี. ทานนี้
จักไม่จบด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงให้นำทองแดงออกไปทำ
ถาดทองแล้ว ส่งข่าวสาส์นไปแก่พระราชา 84,000 ถาดเป็นต้น.
พระราชาทั้งหลาย ทรงดำริว่า เราทั้งหลายอันอาจารย์ได้อนุเคราะห์
มานานแล้วดังนี้ จึงเมื่อให้ทานอยู่นั่นล่วงไปแล้ว 7 ปี 7 เดือน.
ต่อมาพราหมณ์คิดว่า เราจักแบ่งเงินออกให้ทานดังนี้แล้ว จึงให้จัด
ทานเตรียมไว้ในโอกาสอันสำคัญ ครั้นเตรียมเสร็จแล้ว ได้ให้แล้ว
จากปลายถึงถาดทอง 84,000 ถาดเป็นเบื้องต้น.

ในบทนั้น บทว่า รูปยปูรานิ ได้แก่ เต็มด้วยถาดเงิน ภาชนะเงิน
และมาสกเงิน ก็ถาดทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่ควรกำหนดว่าเล็ก. ถาด
4 ใบ ตั้งอยู่แล้วในภูมิภาคกำหนดได้หนึ่งกรีส. พุ่มถาดเป็นรัตนะแท้.
ตั้งแต่ขอบปากเป็นรัตนะ 8 รถม้าอาชาไนย ซึ่งประกอบไว้พร้อม
แล้วเพื่อขอบปากถาด ย่อมวิ่งวนไปรอบ. ได้ให้ถาด 84,000
ถาดอย่างนี้ว่า เมื่อให้ตามปกติจัดปฏิคคาหกไว้เป็นหมู่ ๆ มีท้ายสุด
อยู่ข้างนอก ใส่ในถาดเสร็จแล้ว ยกส่งให้ต่อกันไปปลายแถว แม้
ในบทเป็นต้นว่า รูปิยปาติ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ก็แม้ในบทนี้ บทว่า
สุวณฺณปูรานิ ได้แก่ เต็มด้วยถาดทองภาชนะทองและมากทอง
บทว่า หิรญฺญปูรานิ ได้แก่ เต็มด้วยรัตนะ 7 อย่าง. บทว่า
โสวณฺณาลงฺการานิ ได้แก่ เครื่องประดับเป็นทอง. บทว่า กํสุปธารณานิ
ได้แก่ ภาชนะทำด้วยเงินรับน้ำนม. ส่วนเขาทั้งหลายของแม่โคนม
ทั้งหลายเหล่านั้น ได้สวมแล้วด้วยปลอกทอง ที่คอได้ประดับซึ่ง
พวงมะลิ ที่เท้าทั้ง 4 ได้ประดับซึ่งเครื่องประดับเท้า ที่หลังคลุม
ด้วยผ้าเนื้อดีอย่างประเสริฐ ที่คอผูกระฆังทอง. บทว่า วตฺถโกฏิ-
สหสฺสานิ
ได้แก่ ผ้า 20 คู่ ชาวโลกเรียก เอกโกฏิ แต่ในที่นี้
ผ้า 20 เรียกว่าเอกโกฏิ. ในบทเป็นต้นว่า โขมสุขุมานํ พึงทราบ
วินิจฉัยดังนี้ บรรดาผ้าเปลือกไม้เป็นต้น ผ้าใด ๆ เป็นผ้ามีเนื้อ
ละเอียด ได้ให้แล้วซึ่งผ้านั้น ๆ เท่านั้น. ส่วนทานเหล่าใด ที่เห็น
แล้วว่า มิใช่ทานคืออิตถีทาน (การให้สตรีเป็นทาน) อุสภทาน
(การให้โคอุสภะเป็นทาน) มัชชทาน (การให้น้ำเมาเป็นทาน)
สมัชชทาน (การให้การเล่นมหรสพเป็นทาน) เวลามะนี้ได้ให้ทาน

แม้เหล่านั้น เพื่อเป็นบริวารเพื่อตัดคำพูดว่า ชื่อว่าสิ่งนี้ ให้เหตุ
แห่งทานของเวลามะย่อมไม่มี. บทว่า นชฺโช มญฺเญ วิสฺสนฺทนฺติ
ได้แก่ ย่อมไหลไปเหมือนแม่น้ำ.
พระศาสดาตรัสทานของเวลามะด้วยเหตุประมาณเท่านี้แล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี คนอื่นมิได้ให้แล้วซึ่งมหาทานนั้น เราได้
ให้แล้ว ก็เราแม้เมื่อให้ทานเห็นปานนั้น หาได้บุคคลสมควรเพื่อ
จะรับไม่ ท่านได้ให้ทานเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราปรากฏอยู่ในโลก
เพราะเหตุไร จึงคิดเล่าดังนี้ เมื่อทรงเทศนาออกให้กว้างแก่เศรษฐี
จึงได้ตรัสคำเป็นต้นว่า สิยา โข ปน เต ดังนี้. ถามว่า ก็รูป เวทนา
สัญญา สังขาร ละวิญญาณเหล่าใด ได้มีแล้วในกาลนั้น รูปเป็นต้น
เหล่านั้น ดับแล้วมิใช่หรือ เพราะเหตุไร. พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ชื่อเวลามะดังนี้. ตอบว่า เพราะ
ตัดประเพณีไม่ขาด. ด้วยว่ารูปเป็นต้นเหล่านั้น เมื่อดับ ให้ปัจจัยแก่
ธรรมมีเวทนา เป็นต้นเหล่านี้แล้ว จึงดับ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส
อย่างนี้หมายถึงประเพณี (คือธรรม ) ที่สืบต่อกันไม่ขาด. บทว่า
น ตํ โกจิ ทกฺขิณํ โสเธติ ความว่า ไม่มีใคร ๆ พึงกล่าวว่าใคร
เป็นสมณะ. หรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร ลุกขึ้นแล้ว ย่อมชำระ
ทักษิณาให้บริสุทธิ์. ก็โดยสูงสุดพระพุทธเจ้าพึงชำระทักษิณานั้น
ให้บริสุทธิ์. บทว่า ทิฏฺฐสมฺปนฺนํ ได้แก่ ทานผู้เป็นโสดาบัน ถึง
พร้อมทัสนะ (โสดาปัตติมรรค). ว่า อิทํ ตโต มหปุผลตรํ ความว่า ทานที่
ให้แล้วแก่ท่านผู้เป็นโสดาบันนี้ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลบริจาค
เงินและทองประมาณเท่านี้ให้แล้วแก่โลกียมหาชนสิ้น 7 ปี 7 เดือน

ในบทนี้ว่า โย จ สตํ ทิฏฺฐสมฺปนฺนานํ ความว่า พึงพราบ
การนับโสดาบันถึงท่านผู้เป็นโสดาบันเกินร้อยไปคนหนึ่ง ด้วย
อำนาจท่านผู้เป็นสกทาคามีคนหนึ่ง. โดยอุบายนี้ พึงทราบการนับ
บุคคลถึงจะคูณด้วยร้อยโดยลำดับที่บนแล้วในหนหลังในวาระทั้งปวง.
ในบทว่า พุทฺธปฺปมุขํ นี้ สงฆ์ทำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นพระสังฆเถระนั่งแล้ว พึงทราบว่า สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข ดังนี้. ในบทนี้ว่า จาตุทฺทิสํ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ความว่า
เจดีย์ย่อมประดิษฐานอยู่ การฟังธรรมพวกเขาย่อมกระทำกันในที่
ซึ่งมีวิหารที่บุคคลสร้างถวายสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง 4 ภิกษุทั้งหลาย
มาจากทิศทั้ง 4 และจากทิศน้อยแล้ว ไม่ต้องถูกถาม ล้างเท้าแล้ว
เอากุญแจเปิดประตู ทำความสะอาดเสนาสนะเสร็จอยู่แล้ว ย่อม
ได้ซึ่งความผาสุก วิหารนั้น โดยที่สุดแม้เป็นบรรณศาลา ที่เกิด
แก่ตนอยู่ใน 4 ทิศ เขาก็เรียกว่า วิหารที่บุคคลสร้างถวายสงฆ์
ผู้มาจากทิศทั้ง 4 เหมือนกัน.
ในบทนี้ว่า สรณํ คจฺเฉยฺย ท่านหมายถึงสรณะอันไม่หัน
กลับมาแล้วโดยมรรค. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่ง กล่าว ชื่อ
สรณคมน์ เพราะมอบตนให้แล้ว ท่านอธิบายว่ามีผลมากกว่าทานนั้น.
บทว่า สิกฺขาปทํ สมาทิเยยฺย ได้แก่ พึงรับเบญจศีล. แม้ศีล ท่าน
กล่าวหมายเอาศีลอันไม่หันกลับเท่านั้น ซึ่งมาแล้วในมรรค. ส่วน
อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่าศีล เพราะตนให้อภัยทานแล้ว
แก่สัตว์ทั้งปวง ท่านอธิบายว่า มีผลมากกว่าสรณคมน์นั้น. บทว่า
คนฺธูหนมตฺตํ ได้แก่ เป็นเพียงดำริในของหอม คือเป็นเพียงเอานิ้ว

ทั้งสองจับก้อนข้าวหอมเข้ามาสูดดม. ส่วนอาหารอีกพวกหนึ่ง กล่าว
พระบาลีว่า โคโทหนมตฺตํ แล้ว จึงได้กล่าวความหมายว่า เพียง
น้ำนมหยาดเดียวของแม่โคนม.
บทว่า เมตฺตจิตฺตํ ได้แก่จิตที่แผ่ตามไปเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง.
แต่จิตนั้นท่านถือเอาแล้วด้วยอำนาจอัปปนาเท่านั้น. บทว่า อจิจฺจสญฺญํ
ได้แก่ วิปัสสนาที่มีกำลังถึงที่สุดโดยความเป็นอนันตรปัจจัยแก่
มรรค. ส่วนบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้นเหล่านี้ พึงทราบโดยอุปมา
อย่างนี้. ก็แม้ถ้าว่า เขาทำชมพูทวีปให้เป็นพื้นเสมอกัน เช่นกับ
หน้ากลองปูลาดบัลลังก์ตั้งแต่ต้นแล้ว พึงให้พระอริยบุคคลนั่ง ณ ที่นั้น
มีโสดาบันบุคคล 10 แถว, สกทาคามีบุคคล 5 แถว, อนาคามี
บุคคล สองแถวครึ่ง, พระขีณาสพ หนึ่งแถวครึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า
พึงมีหนึ่งแถว, พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ทานที่
บุคคลถวายจำเพาะแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผลมากกว่าทาน
ที่ถวายแล้วแก่ชนประมาณเท่านี้. ส่วนทานนอกนี้.
คือวิหารทาน บิณฑบาต สิกขา การเจริญ
เมตตา ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 ของท่านผู้พิจารณา
โดยความสิ้นไป.

ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ในสมัย
จะปรินิพพานว่า การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นการบูชา
สูงสุด. บทที่เหลือในบททั้งปวงมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบ อรรถกถาเวลามสูตรที่ 10

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. วุฏฐสูตร 2. สอุปาทิเสสสูตร 3. โกฏฐิตสูตร 4. สมัทธิ-
สูตร 5. คัณฑสูตร 6. สัญญาสูตร 7. กุลสูตร 8. สัตตสูตร
9. เทวตาสูตร 10. เวลามสูตร. และอรรถกถา.
จบ สีหนาทวรรคที่ 2