เมนู

สีหนาทวรรควรรณนาที่ 2


อรรถกถาวุฏฐิสูตร


วุฏฐกิสูตรที่ 1

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ท่านพระสารีบุตร
คิดว่า ถ้าพระศาสดา ทรงประสงค์จะหลีกไปสู่ที่จาริก พึงทรง
หลีกไปในกาลนี้. เอาเถิดเราจะทูลลาพระศาสดาเพื่อไปสู่ที่จาริก
ดังนี้ เป็นผู้อันหมู่ภิกษุห้อมล้อมเข้าไปเฝ้าแล้ว. บทว่า อายสฺมา
นํ ภนฺเต
ความว่า. นัยว่าภิกษุนั้น เห็นพระเถระมาด้วยภิกษุบริวาร
เป็นอันมาก คิดว่า พวกภิกษุเหล่านี้ทิ้งพระตถาคตแล้ว ออกไป
แวดล้อมพระสารีบุตร เราจักทูลห้ามการไปของพระเถระนั้นเสีย
ดังนี้ ผูกความโกรธโดยมิใช่ฐานะ จึงได้กราบทูลแล้วอย่างนั้น.
บทว่า ตตฺถ อาสชฺช ได้แก่ กระทบ. บทว่า อปฺปฏินิสฺสชฺช ได้แก่
ไม่ขอโทษ คือไม่แสดงความผิด. ถามว่า ก็ภิกษุนั้น ผูกอาฆาต
ในเพราะเหตุอะไร ? ตอบว่า ชายจีวรของพระเถระผู้กำลังลุกขึ้น
ไปไหว้พระทศพลถูกตัวของภิกษุนั้นเข้า. บางท่านกล่าวว่า ลมพัด
ไปถูกเอาดังนี้ก็มี. ท่านผูกอาฆาตด้วยเหตุประมาณเท่านี้แล้ว
เมื่อได้เห็นพระเถระไปด้วยบริวารเป็นอันมากเกิดริษยา จึงได้
กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทูลห้ามการไปของพระเถระนั้นเสียดังนี้.
บทว่า เอหํ ตฺวํ ภิกฺขุ ความว่า พระศาสดาสดับคำของ
ภิกษุนั้นแล้ว ทรงรู้ว่า เมื่อใครพูดค้านว่า พระสารีบุตรมิได้

ประหารภิกษุนั้น เธอจะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์
เข้าข้างฝ่ายของพระอัครสาวกของพระองค์อย่างเดียว มิได้เข้าข้าง
ข้าพระองค์ดังนี้ พึงเจ็บใจในเราแล้วเกิดในอบายดังนี้ ได้ตรัส
สั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า ให้เรียกสารีบุตรมา เราจักถามเรื่องนี้ ดังนี้
จึงได้ตรัสแล้วอย่างนี้.
บทว่า อปาปุรณํ อาทาย ได้แก่ ถือกุญแจ. บทว่า สีหนาทํ
ได้แก่ บันลือประเสริฐเฉพาะพระพักตร์ ไม่เปลี่ยนแปลง ภิกษุสงฆ์
อันพระมหาเถระทั้งสองรูปประกาศแล้วอย่างนี้ ก็พากันลา ทิ้งที่พัก
กลางคืนและที่พักกลางวัน ได้ไปยังสำนักของพระศาสดา. บทว่า
ขียธมฺมํ ได้แก่ ธรรมกถา. บทว่า คูถคตํ คือ คูถ. ถึงในบทที่เหลือ
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ปฐวีสเมน ได้แก่ ชื่อว่ามีใจเสมอด้วยแผ่นดิน เพราะ
ไม่โกรธ เพราะไม่ประทุษร้าย. แท้จริง แผ่นดิน จะไม่ทำความ
ทุกข์ใจว่า ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดลงบนเราดังนี้ จะไม่ทำความ
ทุกข์ใจว่า ชนทั้งหลายทิ้งของไม่สะอาดลงดังนี้ ท่านแสดงว่า ถึง
จิตของข้าพระองค์ ก็เห็นปานนั้น. บทว่า วิปูเลน ได้แก่ ไม่น้อย.
บทว่า มหคฺคตน ได้แก่ ถึงความกว้างใหญ่. บทว่า อปฺปมาเณน
ได้แก่ ขยายออกไปได้ไม่มีประมาณ. บทว่า อเวเรน ได้แก่ เว้น
แล้วจากเวรต่ออกุศลและเวรต่อบุคคล. บทว่า อพฺยาปชฺเฌน ได้แก่
ไม่มีทุกข์ คือ ปราศจากโทมนัส. บทว่า โส อิธ ได้แก่ ภิกษุนั้น
เป็นผู้มีกายานุปัสนาสติปัฏฐาน ไม่เข้าไปตั้งไว้แล้ว พึงกระทำ
อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลผู้เป็นเช่นข้าพระองค์ จักทำ

กรรมเห็นปานนั้นได้อย่างไรดังนั้น ท่านจึงบันลือแล้วซึ่งสีหนาท
เป็นครั้งแรก. พึงทราบการประกอบในบททั้งปวงอย่างนี้.
บทว่า รโชหรณํ ได้แก่ ราชตระกูลพวกเขาไม่กวาดด้วย
ไม้กวาด แต่พวกเขาเช็ดด้วยท่อนผ้า. นั่นเป็นชื่อของรโชหรณะ
(ผ้าเช็ดธุลี). บทว่า กโฬปิหตฺโถ ได้แก่ เป็นผู้มีมือถือตะกร้า หรือ
ถือหม้อข้าว. บทว่า นนฺติกวาสี ได้แก่ เป็นผู้นุ่งผ้าเก่าชายขาด.
บทว่า สุรโต ได้แก่ เป็นผู้มีปกติแจ่มใสประกอบด้วยความสงบ
เสงี่ยม. บทว่า สุทนฺโต ได้แก่ ได้รับการฝึกดีแล้ว. บทว่า สุสิกฺขิโต
ได้แก่ เป็นผู้ศึกษาดีแล้ว. บทว่า น กญฺจิ หึสติ ได้แก่ ไม่เบียดเบียน
ใคร ๆ แม้จะจับที่เขาเป็นต้น แม้จะลูบคลำหลัง. บทว่า อุสภจฺ-
ฉินฺนวิสาณสาเมน
ได้แก่ เช่นกับจิตของโคุสภะเขาขาด.
บทว่า อฏฺฏิเยยฺย ได้แก่ พึงเป็นผู้มีอาการคือ ถูกเบียดเบียน
บทว่า หราเยยฺย ได้แก่ ละอาย. บทว่า ชิคุจฺเฉยฺย ได้แก่ ถึงความ
เกลียดชัง. บทว่า เมทกถาลิกํ ได้แก่ ภาชนะที่บุคคลทำไว้สำหรับ
สุนัขเจาะเป็นรูไว้ในที่นั้น ๆ เพื่อการไหลออกของน้ำแกง เรียก
ภาชนะมันข้น. บทว่า ปริหเรยฺย ได้เก่ คนพึงบรรจุให้เต็มด้วยเนื้อ
แล้วยกขึ้นเดินไป. บทว่า ฉิทฺทาวฉิทฺทํ ได้แก่ ประกอบด้วยช่องน้อย
ช่องใหญ่. บทว่า อคุฆรนฺตํ ได้แก่ น้ำแกงไหลลงทางรูที่เป็นช่อง
ข้างบน. บทว่า ปคฺฆรนฺตํ ได้แก่ น้ำแกงไหลออกทางรูที่เป็นช่อง
ข้างล่าง. ร่างกายทั้งสิ้นของเขาพึงเปื้อนด้วยน้ำแกงด้วยอาการ
อย่างนี้. บทว่า ฉิทฺทาวฉิทฺทํ ได้แก่ เป็นช่องน้อยช่องใหญ่จาก

ปากแผลทั้ง 9. ในข้อนี้ พระเถระกล่าวแล้วซึ่งความที่ตนไม่มี
ฉันทราคะในร่างกาย ด้วยองค์ที่แปดหรือที่เก้าด้วยอาการอย่างนี้
บทว่า อถ โข โส ภิกฺขุ ความว่า ลำดับนั้นแล ภิกษุนั้น
เมื่อพระเถระบันลือสีหนาทด้วยเหตุเก้าอย่างนี้แล้ว. บทว่า อจฺจโย
ได้แก่ ความผิด. บทว่า มํ อจฺจคมา ได้แก่ ข้าพเจ้ายอมรับ (โทษ)
ที่ได้เป็นไปแล้ว. บทว่า ปฏิคฺคณฺหาตุ ได้แก่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงโปรดอดโทษด้วยเถิด. บทว่า อายตึ สํวราย ได้แก่ เพื่อความ
สำรวมในอนาคต คือเพื่อไม่ทำความผิดเห็นปานนี้อีก.
บทว่า ตคฺฆ คือ โดยแน่นอน. บทว่า ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ
ได้แก่เธอได้ทำตามธรรมที่ตั้งอยู่แล้ว ท่านอธิบายว่า ให้เราอดโทษ
ดังนี้. บทว่า ตนฺเต มยํ ปฏิคฺหคณฺหาม ความว่า เราจะไม่เอาความ
ผิดนั้นกับเธอ. บทว่า วุฑฺฒิ เหสา ภิกฺขุ อริยสฺส วินเย ความว่า
ดูก่อนภิกษุ นี้ชื่อว่าความเจริญในวินัยของพระอริยะ. คือในศาสนา
ข้องพระผู้มีพระภาคเจ้า. ถามว่า ความเจริญเป็นไฉน ?. ตอบว่า
การเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรมถึงความ
สำรวมต่อไป. ก็เมื่อพระเถระจะทำเทศนาให้เป็นปุคคลาธิฏฐาน
จึงกล่าวว่า โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ อายตึ
สํวรํ อาปชฺชติ
ดังนี้.
บทว่า ผลติ ความว่า ก็ถ้าพระเถระไม่พึงอดโทษไซร้
ศีรษะของภิกษุนั้นพึงแตกเจ็ดเสียงในเพราะโทษนั้นแล เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสอย่างนั้น. บทว่า สเจ มํ โส ความว่า
ถ้าภิกษุนี้กล่าวกะข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ท่านอดโทษเถิด ดังนี้. บทว่า

ขมตฺ จ เม โส ความว่า พระเถระยกโทษแก่ภิกษุนั้นอย่างนี้ด้วย
คิดว่า ก็ท่านผู้มีอายุนี้อดโทษแก่ข้าพเจ้าดังนี้ ให้ภิกษุนั้นขอโทษ
เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดาแม้ด้วยตนเองดังนี้.
จบ อรรถกถาวุฏฐิสูตรที่ 1

2. สอุปาทิเสสสูตร


ว่าด้วยสอุปาทิเสสบุคคล 9 จำพวก


[216] สมัยหนึ่ง พระผุ้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนคร
สาวัตถี.
ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและ
จีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ท่านพระสารีบุตรมีความ
คิดดังนี้ว่า การเที่ยวไปบิณฑบาติในพระนครสาวัตถียังเช้าเกินไป
ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชกก่อนเถิด
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์
ปริพาชก ได้ปราศรัยกับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้น อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นกำลังนั่ง
ประชุมสนทนากันในระหว่างว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
ที่ยังเป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ ผู้นั้นล้วนไม่พ้นจากนรก ไม่
พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจากอบาย
ทุคติ และวินิบาต.
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดีไม่คันค้านถ้อยคำที่
อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นกล่าว ครั้นแล้วลุกจาอาสนะ
หลีกไปด้วยคิดว่า เราจักรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวบิณฑบาต