เมนู

12. นาคิตสูตร


ว่าด้วยการไม่ติดยศและไม่ให้ยศติดตน


[313] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่ออิจฉานังคละ
ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ไพรสณฑ์ชื่ออิจฉานังคละ
ใกล้อิจฉานังคลคาม
พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านอิจฉานังคละได้สดับข่าวว่า พระสมณ-
โคดมศากยบุตร เสด็จออกบวชจากศากยสกุล เสด็จถึงบ้านอิจฉานังคละ
ประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ชื่ออิจฉานังคละ ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์
อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า เพราะเหตุนี้ ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น
ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็น
ปานนั้น ย่อมเป็นการดี ดังนี้ ครั้นนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านอิจฉา-
นังคละ เมื่อล่วงราตรีนั้นไปแล้ว ถือขาทนียโภชนียาหารเป็นอันมาก ไปยัง
ไพรสณฑ์ชื่ออิจฉานังคละ แล้วได้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูภายนอก ส่งเสียงอื้ออึง.

ก็สมัยนั้น ท่านพระนาคิตะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระนาคิตะว่า ดูก่อนนาคิตะ
พวกใครนั่นส่งเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน.
ท่านพระนาคิตะได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้น
คือ พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านอิจฉานังคละ ถือขาทนียโภชนียาหารเป็น
อันมากมาจะถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูภายนอก
พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนนาคิตะ ขอเรา (ตถาคต) อย่าติดยศ และยศอย่าได้ติดเรา
ดูก่อนนาคิตะ ผู้ใดเป็นผู้ไม่ได้ตามความปรารถนา ไม่ได้โดยไม่ยาก ไม่ได้
โดยไม่ลำบาก ซึ่งสุขอันเกิดแต่เนกขัมมะ สุขอันเกิดแต่วิเวก สุขอันเกิดแต่
ความสงบ สุขอันเกิดแต่ความตรัสรู้ ซึ่งเราได้ตามความปรารถนา ได้โดย
ไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ผู้นั้นพึงยินดีสุขที่เกิดแต่ของไม่สะอาด สุขที่เกิด
เพราะการหลับ สุขที่เกิดเพราะลาภ สักการะและการสรรเสริญ.
นา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงรับ ขอ
พระสุคตจงรับ เวลานี้เป็นเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าควรรับ เวลานี้เป็นเวลา
ที่พระสุคต ควรรับ บัดนี้ พราหมณ์และคฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท
จักพากันหลั่งไหลไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไป เปรียบเหมือนเมื่อฝน
เม็ดใหญ่ตกลงน้ำย่อมไหลไปตามที่ลุ่ม ฉะนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีศีลและปัญญา.
พ. ดูก่อนนาคิตะ เราอย่าได้ติดยศ และยศอย่าได้ติดเรา ดูก่อน-
นาคิตะ ผู้ใดเป็นผู้ไม่ได้ตามความปรารถนา ไม่ได้โดยไม่ยาก ไม่ได้โดย
ไม่ลำบาก ซึ่งสุขอันเกิดแต่เนกขัมมะ สุขอันเกิดแต่วิเวก สุขอันเกิดแต่
ความสงบ สุขอันเกิดแต่ความตรัสรู้ ซึ่งเราได้ตามความปรารถนา ได้โดย

ไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ผู้นั้นพึงยินดีสุขอันเกิดแต่ของไม่สะอาด สุขที่เกิด
เพราะการหลับ สุขที่เกิดเพราะลาภสักการะและการสรรเสริญ ดูก่อนนาคิตะ
เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ใกล้บ้าน ผู้นั่งเข้าสมาธิอยู่ใกล้บ้าน เราย่อม
มีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ ไฉนคนวัดจักยังท่านผู้มีอายุรูปนี้ให้สืบต่อสมาธิ
นั้นได้ หรือสามเณรจักยังท่านผู้มีอายุนั้นให้เคลื่อนจากสมาธิ ฉะนั้น เราจึง
ไม่พอใจด้วยการอยู่ใกล้บ้านของภิกษุนั้น อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยนี้
ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรนั่งโงกง่วงอยู่ในป่า เราย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้
ท่านผู้มีอายุรูปนี้ จักบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เพราะการนอนนี้ แล้วกระทำ
อรัญญสัญญาไว้ในใจเป็นเอกัคคตา ฉะนั้น เราจึงพอใจด้วยการอยู่ในป่าของ
ภิกษุรูปนั้น อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ไม่มี
จิตเป็นสมาธินั่งอยู่ในป่า เรามีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ ท่านผู้มีอายุรูปนี้
จักตั้งจิตที่ไม่เป็นสมาธิให้เป็นสมาธิ หรือจักตามรักษาจิตที่เป็นสมาธิไว้
ฉะนั้น เราจึงพอใจด้วยการอยู่ในป่าของภิกษุนั้น อนึ่ง เราเห็นภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร มีจิตเป็นสมาธินั่งอยู่ในป่า เรามีความคิด
อย่างนี้ว่า บัดนี้ ท่านผู้มีอายุรูปนี้ จักเปลื้องจิตที่ยังไม่หลุดพ้นให้หลุดพ้น
หรือจักตามรักษาจิตที่หลุดพ้นแล้วไว้ ฉะนั้น เราจึงพอใจด้วยการอยู่ป่าของ
ภิกษุนั้น อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ใกล้บ้าน ได้จีวรบิณฑบาต
เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอพอใจลาภ สักการะและ
การสรรเสริญนั้นย่อมละทิ้งการหลีกออกเร้น ย่อมละทิ้งเสนาสนะสงัดอันตั้งอยู่
ในราวป่า มารวมกันอยู่ยังบ้าน นิคม และราชธานี ฉะนั้น เราจึงไม่พอใจ
ด้วยการอยู่ใกล้บ้านของภิกษุนั้น อนึ่ง เราเห็นภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถืออยู่ป่า
เป็นวัตร ได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอละลาภ
สักการะและการสรรเสริญนั้น ย่อมไม่ละทิ้งการหลีกออกเร้น ย่อมไม่ละทิ้ง

เสนาสนะสงัดอันตั้งอยู่ในราวป่า ฉะนั้น เราจึงพอใจด้วยการอยู่ป่าของภิกษุนั้น
อนึ่ง สมัยใด เราเดินทางไกล ย่อมไม่เห็นใครข้างหน้าหรือข้างหลัง สมัยนั้น
เราย่อมมีความสบาย โดยที่สุดด้วยการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ.
จบนาคิตสูตรที่ 12
จบเสกขปริหานิยวรรคที่ 4

อรรถกถานาคิตสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในนาคิตสูตรที่ 12 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า คามนฺตวิหารํ ได้แก่ ผู้อยู่ในเสนาสนะท้ายบ้าน. บทว่า
สมาหิตํ นิสินฺนํ ได้แก่ ผู้นั่งเข้าสมาธิในเสนาสนะท้ายบ้านนั้น. บทว่า
อิทานิมํ ตัดบทเป็น อิทานิ อิมํ. บทว่า สมาธิมฺหา จาเวสฺสติ ความว่า
จักออกจากสมาธิ. บทว่า น อตฺตมโน โหติ ความว่า ย่อมไม่มีใจเป็น
ของตน (ไม่ดีใจ). บทว่า ปจลายมานํ ได้แก่ กำลังหลบอยู่. บทว่า
เอกตฺตํ มีอธิบายว่า กระทำอรัญญสัญญานั่นแหละไว้ในใจให้ (จิต) มีสภาพ
เป็นเอก คือเป็นจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง. บทว่า อนุรกฺขิสฺสติ ได้แก่ จัก
อนุเคราะห์. บทว่า อธิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิโมเจสฺสติ ความว่า จักเปลื้องจิต
ที่ยังไม่พ้นไปในเวลาอื่น ด้วยวิมุตติทั้ง 5 ในบัดนี้. บทว่า ริญฺจติ ได้แก่
เว้นคือสลัดทิ้ง. บทว่า ปฏิปฺปณาเมตวา ได้แก่บรรเทา คือสลัดออกไป.
บทว่า อุจฺจารปสฺสาวกมฺมาย ได้แก่ เพื่อต้องการถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ.