เมนู

อรรถกถาอุทายีสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในอุทายีสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุทายี ได้แก่ พระโลฬุทายีเถระ. บทว่า สุณามหํ อาวุโส
ความว่า ดูก่อนอาวุโส เราไม่ใช่คนใบ้ เราได้ยินพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า แต่เรายังใคร่ครวญปัญหาอยู่. บทว่า อธิจิตฺตํ ได้แก่ สมาธิจิต
และวิปัสสนาจิต. บทว่า อิทํ ภนฺเต อนุสฺสติฏฺฐานํ ความว่า เหตุแห่ง
อนุสติ กล่าวคือฌานทั้ง 3 นี้. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาราย สํวตฺตติ
ความว่า ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การอยู่เป็นสุข ในอัตภาพนี้เท่านั้น.
บทว่า อาโลกสญฺญํ ได้แก่ สัญญาที่เกิดขึ้นในอาโลกนิมิต. บทว่า ทิวา
สญฺญํ อธิฏฺฐาติ
ได้แก่ ตั้งสัญญาไว้ว้า กลางวัน. บทว่า ยถา ทิวา ตถา
รตฺต
ึ ความว่า ในเวลากลางวัน เธอมนสิการอาโลกสัญญาโดยประการใด
แม้ในเวลากลางคืน ก็มนสิการอาโลกสัญญานั้น อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ยถา รตฺตึ ตถา ทิวา ความว่า ในเวลากลางคืน เธอมนสิการ
อาโลกสัญญาอย่างใด แม้ในเวลากลางวัน ก็มนสิการอาโลกสัญญานั้นอย่างนั้น
เหมือนกัน. บทว่า วิวเฏน ได้แก่ ปรากฏแล้ว. บทว่า อปริโยนทฺเธน
ความว่า จะถูกนิวรณ์รึงรัดไว้ก็หาไม่. บทว่า สปฺปภาสํ จิตฺตํ ภาเวติ
ความว่า เพิ่มพูนจิตพร้อมด้วยแสงสว่าง คือยังจิตนั้นให้เจริญ เพื่อประโยชน์
แก่ทิพยจักษุญาณ. ก็คำใดที่พระอานนทเถระเจ้ากราบทูลว่า อาโลกสญฺญํ
มนสิ กโรติ
คำนั้นพึงเข้าใจว่า ท่านกล่าวหมายเอาอาโลกสัญญาที่กำจัด
ถีนมิทธะออกไป ไม่ควรเข้าใจว่า หมายเอาอาโลกสัญญา คือทิพยจักษุญาณ.

บทว่า ญาณทสฺสนปฺปฏิลาภาย ความว่า เพื่อการได้เฉพาะซึ่ง
ญาณทัสสนะ กล่าวคือทิพยจักษุ. บรรดาคำมีอาทิว่า อิมเมว กายํ คำใด
ที่จะพึงกล่าว คำนั้นทั้งหมดข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว โดยพิสดาร โดยอาการ
ทุกอย่าง ในตอนว่าด้วยกายคตาสติกัมมัฏฐาน ในวิสุทธิมรรค. บทว่า
กามราคสฺส ปหานาย ความว่า เพื่อต้องการละราคะที่เกิดขึ้นจากเบญจ-
กามคุณ. บทว่า เสยฺยถาปิ ปสฺเสยฺย ความว่า พึงเห็นฉันใด. บทว่า
สรีรํ ได้แก่ สรีระของผู้ที่ตายแล้ว. บทว่า สีวถิกาย ฉทฺฑิตํ ได้แก่
ร่างกายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า. ซากศพ ชื่อว่า เอกาหมตํ เพราะเป็นซากของ
สัตว์ที่ตายแล้ววันเดียว. ชื่อว่า ทฺวีหมตํ เพราะเป็นซากของสัตว์ที่ตายแล้ว
2 วัน. ชื่อว่า ตีหมตํ เพราะเป็นซากของสัตว์ที่ตายแล้ว 3 วัน. ร่างสัตว์
ชื่อว่า อุทธุมาตะ เพราะหลังจากสิ้นชีวิตแล้ว จะพองขึ้นพองขึ้น โดยอืด
ขึ้นไปตามลำดับเหมือนป่าด้วยลม. อุทธุมาตกะ ก็คืออุทธุมาตะ นั่นเอง.
อีกอย่างหนึ่ง ซากศพที่พองขึ้น ๆ อย่างน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อุทธุมาตกะ. ซากศพที่มีสีเปลี่ยนแปลงไป ท่าน
เรียกว่า วินีละ. วินีละ ก็คือวินีละ นั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง ซากศพที่มี
สีเขียวคล้ำจนน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วินีลกะ
คำว่า วินีลกะนี้ เป็นชื่อของซากศพที่มีสีแดง ในที่ที่มีเนื้อนูนขึ้น มีสีขาว
ในที่ที่กลัดหนอง และโดยมากก็มีสีเขียว เหมือนห่อด้วยผ้าสีเขียว ในที่ที่เขียว.
ซากศพที่มีหนองไหลออกจากปากแผลทั้ง 9 แห่ง ซึ่งเป็นที่ปะทุออก
ชื่อว่า วิปุพพะบ้าง. วิปุพพกะก็คือวิปุพพะ นั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง ซากศพ
ที่มีหนองไหลออกอย่างน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
วิปุพพกะ. ซากศพที่กลายเป็นศพมีหนองไหลคือถึงความเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิปุพพกชาตะ.

บทว่า โส อิมเมว กายํ ความว่า ภิกษุนั้นน้อมนำกายของตนนี้
เข้าไปเปรียบเทียบกับกายนั้น ด้วยญาณ. เปรียบเทียบอย่างไร ? เปรียบเทียบ
ว่า ถึงแม้กายนี้แหละ ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา จะเป็นอย่างนี้ ล่วงอย่างนี้ไป
ไม่ได้. มีคำอธิบายว่า เพราะธรรมทั้ง 3 อย่างเหล่านี้ คือ อายุ ไออุ่น และ
วิญญาณมีอยู่. กายนี้จึงควรแก่อิริยาบถมีการยืนได้ เดินได้เป็นต้น แต่เพราะ
ปราศจากธรรมทั้ง 3 อย่างเหล่านี้ แม้ร่างกายนี้ก็จะมีสภาพอย่างนี้เป็นธรรมดา
คือ มีสภาพเปื่อยเน่าอย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า เอวํ ภาวี ความว่า จักมี
ความแตกต่างโดยเป็นซากศพที่ขึ้นพองเป็นต้น อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า
เอวํ อนตีโต ความว่า จะไม่ล่วงความเป็นศพขึ้นพองอย่างนี้ไปได้. บทว่า
ขชฺชมานํ ความว่า สัตว์ทั้งหลายมีกาเป็นต้น เกาะที่ท้องเป็นต้น แล้วจิกกิน
เนื้อท้อง ริมฝีปาก ลูกตา เป็นต้น. บทว่า สมํสโลหิตํ ได้แก่ ซากศพ
ที่ประกอบด้วยเนื้อและเลือดที่ยังเหลือติดอยู่. บทว่า นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ
ความว่า ถึงเนื้อจะหมดไปแล้ว โลหิตก็ยังไม่เหือดแห้ง. คำว่า นิมฺมํสโลหิต-
มกฺขิตํ
นี้ ท่านกล่าวไว้หมายถึง ซากศพที่หมดเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือดนั้น.
บทว่า อยฺเญน ความว่า โดยทิศทางอื่น. บทว่า หตฺถฏฺฐิกํ ความว่า
กระดูกมือถึงแยกออกเป็น 64 ชิ้น ก็กระจัดกระจายแยกกันไป. แม้ในกระดูก
เท้าเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า เตโรวสฺสิกานิ ความว่า กระดูกทั้งหลายที่ทั้งไว้เกิน 1 ปี.
บทว่า ปูตีนิ ความว่า กระดูกที่ตั้งอยู่กลางแจ้งเกิน 1 ปีนั่นแหละ จะผุ
เพราะถูกลม แดด และฝนชะ แต่กระดูกที่ฝังอยู่ในแผ่นดิน จะอยู่ได้นาน.
บทว่า จุณฺณกชาตานิ ได้แก่ กระจัดกระจายเป็นผุยผงไป. ในทุก ๆ บทต้อง
ทำการประกอบความด้วยสามารถแห่งสัตว์ทั้งหลายมีสัตว์จิกกินเป็นต้น โดยนัย
ที่กล่าวไว้แล้วว่า โส อิมเมว ดังนี้. บทว่า อสฺมิมานสมุคฺฆาตาย ความว่า

เพื่อต้องการถอนมานะ 9 อย่าง อันเป็นไปแล้ว ว่าเรามีดังนี้. บทว่า อเนก-
ธาตุปฏิเวธาย
ความว่า เพื่อต้องการแทงตลอดธาตุ มีอย่างมิใช่น้อย. บทว่า
สโตว อภิกฺกมติ ความว่า เมื่อจะเดินก็เป็นผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญา
เดินไป. บทว่า สโตว ปฏิกฺกมติ ความว่า เมื่อจะถอยกลับ ก็ประกอบ
ไปด้วยสติปัญญา ถอยกลับ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สติสมฺปชญฺญาย ความว่า ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่ความ
ระลึกได้ และความรู้ ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสติและญาณ
คละกันไป ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอุทายีสูตรที่ 9

10. อนุตตริยสูตร


ว่าด้วยสิ่งยอดเยี่ยม 6


[301] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุตริยะ 6 ประการนี้ 6 ประการ
เป็นไฉน คือ ทัสสนานุตริยะ 1 สวนานุตริยะ 1 ลาภานุตริยะ 1
สิกขานุตริยะ 1 ปาริจริยานุตริยะ 1 อนุสตานุตริยะ 1.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทัสสนานุตริยะเป็นไฉน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไปเพื่อดูช้างแก้วบ้าง ม้าแก้วบ้าง แก้วมณีบ้าง
ของใหญ่ของเล็ก หรือสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ทัสสนะนั้นมีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าทัสสนะนี้นั้นแลเป็น
กิจเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ