เมนู

แห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้น ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุผู้เจริญภาวนา-
ทางใจ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมมีใจถูกกามราคะกลุ้มรุม
ถูกถามราคะครอบงำอยู่ และไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็น
เครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว ขอท่านผู้มีอายุจงแสดง
ธรรมเพื่อละกามราคะแก่ผม ภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ ย่อมแสดงธรรมเพื่อ
ละกามราคะแก่เธอ ดูก่อนภิกษุ นี้เป็นสมัยที่ 1 ที่ควรเพื่อเข้าไปพบภิกษุ
ผู้เจริญภาวนาทางใจ ฯลฯ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนั้นผมได้สดับรับ
มาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนภิกษุ สมัยที่ควรเพื่อเข้าไป
พบภิกษุผู้เจริญภาวนาทางใจ มี 6 ประการนี้แล.
จบทุติยสมยสูตรที่ 8

อรรถกถาทุติยสมยสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในทุติยสมยสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า มณฺฑลมาเฬ ได้แก่ในโรงฉัน. บทว่า จาริตฺตกิลมโต ได้แก่
ความลำบากอันเกิดขึ้น จากการเที่ยวบิณฑบาต. บทว่า ภตฺตกิลมโต ได้
แก่ความกระวนกระวายที่เกิดจากภัต. บทว่า วิหารปจฺฉายายํ ได้แก่ที่เงาร่ม
ท้ายวิหาร. บทว่า ยเทวสฺส ทิวา สมาธินิมิตฺตํ มนสิกตํ โหต
ความว่า ในสมัยนั้น สมถนิมิตนั่นแหละจะสัญจรไปในมโนทวารของภิกษุผู้
นั่งอยู่ในที่พักกลางวัน. บทว่า โอชฏฺฐายี ความว่า สถิต คือ ประดิษฐาน
อยู่แห่งโอชะ. บทว่า ผาสุกสฺส โหติ ความว่า เธอมีความผาสุก. บทว่า
สมฺมุขา ความว่า ในที่ต่อหน้าผู้บอก. บทว่า สุตํ ความว่า ได้ฟังด้วย
โสตธาตุ, บทว่า ปฏิคฺคหิตํ ความว่า ประคองได้ด้วยจิต.
จบอรรถกถาทุติยสมยสูตรที่ 8

9. อุทายีสูตร


ว่าด้วยอนุสติ 6


[300] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระอุทายีมา
ถามว่า ดูก่อนอุทายี อนุสติมีเท่าไรหนอแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม
อย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระ-
อุทายีแม้ครั้งที่ 2 ว่า ดูก่อนอุทายี อนุสติมีเท่าไรหนอแล เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสถามท่านพระอุทายีแม้ครั้งที่ 3 ว่า ดูก่อนอุทายี อนุสติมีเท่าไรหนอแล
แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระอุพายีก็ได้นิ่งอยู่.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ดูก่อนท่าน
อุทายี พระศาสดาตรัสถามท่าน ท่านพระอุทายีได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านอานนท์
ผมได้ยินพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกชาติก่อนได้
เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เธอย่อมระลึก
ถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั่งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน
อานนท์ เราได้รู้แล้วว่า อุทายีภิกษุนี้เป็นโมฆบุรุษ ไม่เป็นผู้ประกอบอธิจิตอยู่
แล้วตรัสถามท่านพระอานนท์ต่อไปว่า ดูก่อนอานนท์ อนุสติมีเท่าไรหนอ
แล ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนุสติมี 5
ประการ 5 ประการเป็นไฉน ? คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ