เมนู

ปาปเกน มนสา ความว่า ด้วยจิตคิดจะฆ่าอันลามก. แต่ในพระบาลี
ท่านเขียนไว้ว่า วธายุปนีเต. บทว่า มาควิโก ได้แก่ ผู้ฆ่าเนื้อ.
บทว่า โก ปน วาโท มนุสฺสภูตํ ความว่า สำหรับผู้ที่มีใจ
ลามก เข้าไปเพ่งเล็งมนุษย์ ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดถึง ในความไม่มีสมบัติ.
ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อทรงแสดงถึงความที่บาปกรรมมีผลที่ไม่-
ปรารถนา. แต่เมื่อแม้ผู้ใดกระทำบาปกรรมเช่นนั้น ผู้นั้นกลับได้ยศ ข้อนั้น
พึงเข้าใจว่ากุศลให้ผลแก่เขาเหล่านั้น โดยอาศัยอกุศลนั้น แต่วิบากจะไม่ยั่งยืน
ไปตลอดกาลนาน เพราะเขาจะถูกอกุศลกรรมนั้น ตัดรอน. ในพระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลไว้อย่างเดียว.
จบอรรถกถามัจฉสูตรที่ 8

9. ปฐมมรณัสสติสูตร


ว่าด้วยการเจริญมรณสติมีผลมาก


[290] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้าง
ด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันภิกษุเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็น
ที่สุด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเจริญมรณสติหรือ เมื่อพระผู้มี

พระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญ
มรณสติอย่างนี้แล.
ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดุก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติ
อย่างนี้แล.
ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เจริญมรณสติอย่างนี้แล.
ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
ก็เจริญมรณสติ.

พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เจริญมรณสติอย่างนี้แล.
ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มี
พระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เจริญมรณสติอย่างนี้แล.
ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กรรบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์
ก็เจริญมรณสติ.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณสติอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า
เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณสติอย่างนี้แล.
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
เป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า

โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้
ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการ
คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ และภิกษุใด
ย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำ
กลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจ
ให้มากหนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาท
เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญ
มรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน
เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
และภิกษุใดย่อมเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่
หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำ
สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณสติ เพื่อ
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาท
จักเจริญมรณสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
จบปฐมมรณัสสติสูตรที่ 9

อรรถกถาปฐมมรณัสสติสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในปฐมามรณัสสติสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นาทิเก ได้แก่ ในบ้านที่มีชื่ออย่างนี้. บทว่า คิญฺชกาวสเถ
ได้แก่ ในปราสาทที่ก่อด้วยอิฐ. บทว่า อมโตคธา ได้แก่ หยั่งลงสู่พระ-
นิพพาน อธิบายว่า เข้าสู่พระนิพพาน. บทว่า อโห วต เป็นนิบาตลงใน
อรรถว่าที่สุด. บทว่า ภาเวถ โน แปลว่า จงเจริญเถิด. บทว่า มรณสฺสตึ
ได้แก่ มรณสติกัมมัฏฐาน. ศัพท์ว่า อโห วต เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า
ปรารถนา. บทว่า อหุ วต เม กตํ อสฺส ความว่า กิจของข้าพระองค์ใน
ศาสนาของพระองค์ พึงเป็นกิจที่ข้าพระองค์กระทำให้มาก. บทว่า ตทนฺตรํ
ความว่า ในระหว่างคือขณะ ได้แก่โอกาสนั้น. ในบทว่า อสฺสสิตฺวา วา
ปสฺสสามิ
นี้ ลมที่เข้าไปข้างใน ท่านเรียกว่า อัสสาสะ ลมที่ออกมาภายนอก
ท่านเรียกว่า ปัสสาสะ. ภิกษุนี้ปรารถนาจะดำรงชีวิตอยู่ ชั่วเวลาที่ลมเข้าไป
ข้างใน กลับออกมาข้างนอก ลมที่ออกไปข้างนอก กลับเข้ามาข้างใน จึงได้
ทูลอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
ว่า ทนฺธํ ได้แก่ เป็นไปอ่อน ๆ หนัก คือไม่เร็ว. บทว่า อาสวนํ
ขยาย
ได้แก่ เพื่อพระอรหัตผล. ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
มรณสติไปจนถึงพระอรหัตผล.
จบอรรถกถาปฐมมรณัสสติสูตรที่ 9