เมนู

ตายแล้วก็เจริญ อย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อ
ทำที่สุดทุกข์โดยชอบ.
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้
กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่น-
ช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า เช่น
ดังมฤค ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษม
จากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ส่วนผู้
ใดละธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีใน
บทคือธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ผู้นั้น
ย่อมได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หา
ธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้.

จบอรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาภัททกสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในภัททกสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า น ภทฺทกํ ความว่า ไม่ได้. อธิบายว่า ในสองอย่างนั้นผู้
ใดกลัวมากแล้ว ตาย ผู้นั้นชื่อว่า ตายไม่ดี. (ส่วน) ผู้ใด ถือปฏิสนธิในอบาย
ผู้นั้น (ชื่อว่า) มีกาลกิริยาไม่ดี.
ในบทมีอาทิว่า กมฺมาราโม ดังนี้ สิ่งที่มายินดีชื่อว่า อารามะ
อธิบายว่า ได้แก่ความยินดียิ่ง. บุคคล ชื่อว่า กมฺมาราโม เพราะมีความ

ยินดีในนวกรรม มีการสร้างวิหารเป็นต้น. ชื่อว่า กมฺมรโต เพราะยินดีใน
กรรมนั้น ๆ นั่นแหละ ชื่อว่า อนุยุตฺโต เพราะประกอบความที่เป็นผู้มีกรรม
เป็นที่มายินดีนั่นแหละบ่อย ๆ . ในบททั้งปวง ก็มีนัย นี้.
ก็การพูดคุยกัน (เรื่องหญิงเรื่องชาย) ชื่อว่า ภัสสะ ในที่นี้.
บทว่า นิทฺทา ได้แก่ความหลับ. บทว่า สงฺคณิกา ได้แก่ เป็นผู้คลุกคลี
ด้วยหมู่ การคลุกคลีด้วยหมู่นั้น พึงทราบโดยนัยมีอาทิว่า เมื่อมีคนเดียวก็
เพิ่มเป็นสอง เมื่อมีสองคน ก็มีคนที่สาม. บทว่า สํสคฺโค ได้แก่ความ
เป็นผู้เกี่ยวข้องกัน อันเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งการเกี่ยวเนื่องกัน ด้วย
การฟัง การเห็น การเจรจา การร่วมกันและการเกี่ยวเนื่องกันทางกาย.
บทว่า ปปญฺโจ ได้แก่ธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือกิเลส อันเป็นไป
แล้วด้วยสามารถแห่งตัณหา ทิฏฐิ และมานะ อันดำรงอยู่ด้วยอาการมึนเมา.
บทว่า สกฺกายํ ได้แก่วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ 3. บทว่า สมฺมาทุกฺขสฺส
อนฺตกิริยาย ความว่า เพื่อกระทำการตัดขาดทางแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้นโดยเหตุ
โดยนัย. บทว่า มโค ได้แก่เช่น มฤค. บทว่า นิปฺปปญฺจปเท ได้แก่
ในธรรมเครื่องถึงซึ่งพระนิพพาน. บทว่า อาธารยิ ความว่า ให้บริบูรณ์
ได้แก่ ยังวัตรปฏิบัตินั้น ให้ถึงพร้อม.
จบอรรถกถาภัททกสูตรที่ 4

5. อนุตัปปิยสูตร


ว่าด้วยการอยู่ที่ทำให้เดือดร้อนและไม่เดือดร้อน


[286] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการ
อยู่ ตายแล้วย่อมเดือดร้อน ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เธอสำเร็จ
การอยู่ ตายแล้วย่อมเดือดร้อนเป็นอย่างไร ? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ชอบการงาน ยินดีการงาน ขวนขวายความชอบการงาน ชอบการคุย. . .
ชอบความหลับ. . . ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ. . . ชอบความคลุกคลี
ด้วยคฤหัสถ์. . . ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมเดือด
ร้อนอย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีสักกายะ ไม่ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์
โดยชอบ.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอ
สำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการ
ที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน เป็นอย่างไร ? คือ ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบ
การงาน ไม่ชอบการคุย. . . ไม่ชอบความหลับ . . . ไม่ชอบความคลุกคลี
ด้วยหมู่คณะ. . . ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุ
ให้เนิ่นช้า ไม่ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่